ช่วงนี้ไม่ว่าจะเปิดข่าวการเงิน หรือคุยกับเพื่อนนักลงทุนทีไร ชื่อของ “หุ้น nvidia” มักจะเด้งขึ้นมาเสมอ จนบางคนอาจจะรู้สึกว่า เอ๊ะ หุ้นตัวนี้มันพิเศษขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมถึงมีแต่คนพูดถึง วันนี้ในฐานะคอลัมนิสต์สายการเงิน เราจะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ ว่าเบื้องหลังความร้อนแรงของ หุ้น nvidia หรือที่มีสัญลักษณ์ย่อๆ ว่า NVDA บนกระดาน ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก คืออะไรกันแน่
บริษัท เอ็นวิเดีย คอร์ปอเรชั่น ต้นกำเนิดอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1993 โดยสามผู้ก่อตั้งที่นำโดย คุณเจียเหว่ย หวง ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งซีอีโอ หัวใจหลักของธุรกิจนี้คือการออกแบบและผลิตชิปประมวลผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน่วยประมวลผลกราฟิก หรือที่เรียกกันติดปากว่า จีพียู (GPU) ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีดังมากในวงการเกมมิ่ง จากการ์ดจอซีรีส์ GeForce ที่คอเกมรู้จักดี แต่โลกมันหมุนไว เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และศูนย์ข้อมูล (Data Center) กลายเป็นดาวเด่น และนี่แหละคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ หุ้น nvidia กลายเป็นที่จับตา เพราะจีพียูของ Nvidia ไม่ได้มีดีแค่ประมวลผลภาพสวยๆ ในเกม แต่ยังทรงพลังสุดๆ ในการประมวลผลข้อมูลมหาศาลที่จำเป็นสำหรับงาน AI และการทำงานของศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่

ถ้าดูจากตัวเลขทางการเงิน ผลประกอบการของ Nvidia นี่เรียกได้ว่า “ก้าวกระโดด” เลยครับ อย่างรายได้รวมใน 12 เดือนที่ผ่านมา (สิ้นสุด 27 ตุลาคม 2024) เติบโตสูงถึง 152.44% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกลุ่มธุรกิจศูนย์ข้อมูล ที่มีสัดส่วนรายได้สูงกว่า 86% และเติบโตถึง 142% ในปีการเงิน 2025 (ประมาณการ) ในไตรมาสล่าสุด (ประมาณการ) บริษัทมีรายได้ถึง 39.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และกำไรต่อหุ้นก็ออกมาดีกว่าคาดด้วย ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ความต้องการชิปประมวลผลของ Nvidia ในตลาด AI และศูนย์ข้อมูลนั้นมหาศาลจริงๆ จนรายได้ในกลุ่มเกมมิ่งที่เคยเป็นพระเอกก็กลายเป็นส่วนเล็กๆ ไปเลย นอกจากรายได้แล้ว อัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA margin) ก็สูงถึง 63.85% แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรที่น่าทึ่ง
นอกจากผลิตภัณฑ์ปัจจุบัน Nvidia ยังไม่หยุดนิ่ง มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาตลอด เช่น สถาปัตยกรรมชิปใหม่ๆ อย่าง Blackwell หรือชิปรุ่นถัดไปอย่าง Vera Rubin ที่มีแผนเปิดตัวในปี 2026 รวมถึงเทคโนโลยีซอฟต์แวร์อย่าง DLSS ที่ใช้ AI ช่วยเพิ่มเฟรมเรตให้ภาพในเกมไหลลื่นขึ้น และระบบนิเวศสำหรับงาน AI ที่ครบวงจรอย่าง CUDA หรือแพลตฟอร์มสำหรับหุ่นยนต์ ยานยนต์อัตโนมัติ สิ่งเหล่านี้สร้างความแข็งแกร่งและทำให้ Nvidia เป็นผู้นำในตลาดนี้ ซึ่งการเป็นผู้นำในตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ หุ้น nvidia มีมูลค่าตลาดสูงกว่า 3.15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปแล้ว

แน่นอนว่าเมื่อพูดถึง หุ้น nvidia สิ่งที่ทุกคนสนใจคือราคา ลองย้อนดูการเคลื่อนไหวราคาย้อนหลัง โอ้โห! ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นพุ่งขึ้นกว่า 3,000% และในปีที่ผ่านมาก็บวกไปกว่า 200% สร้างผลตอบแทนมหาศาลให้กับนักลงทุน แต่ใช่ว่าราคาจะขึ้นตลอดนะครับ หุ้นที่มีการเติบโตสูงมักจะมีความผันผวนสูงตามไปด้วย อย่างในช่วงสัปดาห์หรือเดือนที่ผ่านมา ราคาก็มีการปรับลดลงบ้างเหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของหุ้นเติบโตเร็ว สำหรับมุมมองของนักวิเคราะห์ ส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางบวก โดยนักวิเคราะห์กว่า 39 คน จาก 42 คน แนะนำให้ “ซื้อ” และมีการให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่สูงกว่าราคาปัจจุบันพอสมควร แสดงว่าพวกเขายังมองเห็นศักยภาพในการเติบโตอีก อย่างเหตุการณ์ในอดีตเมื่อ 18 เมษายน 2023 คุณ Frank Lee จากธนาคาร HSBC ได้ปรับคำแนะนำเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้จาก “ลดน้ำหนัก” เป็น “ซื้อ” ก็ส่งผลให้ราคาหุ้นในวันนั้นพุ่งขึ้นไปกว่า 3% เลยทีเดียว
ทีนี้สำหรับนักลงทุนในประเทศไทยที่อยากเป็นเจ้าของ หุ้น nvidia บ้าง มีทางเลือกอยู่สองทางหลักๆ ครับ ทางแรกคือการซื้อหุ้น NVDA โดยตรงในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ในไทยที่ให้บริการลงทุนต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันก็มีหลายเจ้าให้เลือกใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันได้เลย หรืออีกทางเลือกที่สะดวกสำหรับนักลงทุนไทยหลายคนคือการซื้อ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า DR (Depositary Receipt) ที่ออกโดยผู้ให้บริการในไทย อย่าง DR บนหุ้น NVDA ก็มีให้บริการในตลาดหลักทรัพย์ไทย โดยมีสัญลักษณ์คือ NVDA80 ซึ่งออกโดยธนาคารกรุงไทย การซื้อขาย DR ก็เหมือนซื้อขายหุ้นไทยปกติเลยครับ ใช้บัญชีหุ้นไทยและซื้อขายผ่านแอปฯ ของโบรกเกอร์ไทยได้เลย สะดวกสบายดี

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลประกอบการจะดีเยี่ยม เทคโนโลยีจะล้ำสมัย และนักวิเคราะห์จะมองบวก แต่การลงทุนใน หุ้น nvidia ก็มีความเสี่ยงเหมือนการลงทุนอื่นๆ ครับ ข้อแรกคือเรื่องการประเมินมูลค่า ปัจจุบัน หุ้น nvidia มีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E ratio) ค่อนข้างสูงถึงกว่า 75 เท่า ซึ่งหมายความว่านักลงทุนยอมจ่ายแพงเมื่อเทียบกับกำไรที่บริษัททำได้ เพราะคาดหวังการเติบโตในอนาคตที่สูงมาก หากการเติบโตไม่เป็นไปตามที่คาด ราคาหุ้นก็อาจจะปรับตัวลงได้ นอกจากนี้ หุ้น Nvidia ยังมีความผันผวนสูง ค่าสัมประสิทธิ์เบต้า (Beta) ก็บ่งชี้ว่าหุ้นตัวนี้มักจะมีการเปลี่ยนแปลงราคามากกว่าตลาดโดยรวม ซึ่งแปลว่าถ้าตลาดผันผวน หุ้น Nvidia ก็มีแนวโน้มที่จะผันผวนแรงกว่า และแน่นอนว่าการที่ธุรกิจพึ่งพิงตลาด AI และศูนย์ข้อมูลเป็นหลัก ก็เป็นความเสี่ยง หากตลาดนี้ชะลอตัวลง หรือมีคู่แข่งสำคัญอย่าง AMD หรือ Intel เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ในแง่ของการจ่ายเงินปันผล หุ้น nvidia มีการจ่ายปันผลทุกไตรมาสก็จริง แต่จำนวนเงินปันผลต่อหุ้นค่อนข้างน้อย และให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลต่ำมาก (ประมาณ 0.039% – 0.07%) อัตราการจ่ายเงินปันผล (Payout Ratio) ก็ต่ำเช่นกัน ซึ่งสะท้อนว่าบริษัทเลือกที่จะนำกำไรส่วนใหญ่ไปลงทุนในการวิจัย พัฒนา และขยายธุรกิจ มากกว่าจ่ายคืนผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับหุ้นเติบโตสูง ส่วนประวัติการแตกหุ้น (Stock Split) ที่เคยเกิดขึ้นมา 5 ครั้ง ครั้งล่าสุดเมื่อ 20 กรกฎาคม 2021 ในอัตรา 4 ต่อ 1 ก็มีส่วนช่วยให้ราคาหุ้นต่อหน่วยลดลง ทำให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมูลค่าพื้นฐานของบริษัทแต่อย่างใด
โดยสรุปแล้ว หุ้น nvidia เป็นหุ้นเทคโนโลยีระดับโลกที่มีบทบาทสำคัญและเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่าง AI และศูนย์ข้อมูล ผลประกอบการที่ผ่านมาสะท้อนความแข็งแกร่งและศักยภาพการทำกำไรได้เป็นอย่างดี นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองโลกในแง่ดี และมีช่องทางให้นักลงทุนไทยเข้าถึงได้ทั้งทางตรงและผ่าน DR
⚠️ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นเติบโตสูงอย่าง หุ้น nvidia ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงด้านการประเมินมูลค่าที่ค่อนข้างสูงและความผันผวนของราคาที่มากกว่าหุ้นทั่วไปเสมอ ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจธุรกิจ ความเสี่ยง และประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเอง หากเงินลงทุนของคุณจำกัด หรือต้องการกระจายความเสี่ยง อาจพิจารณาลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสม ไม่ทุ่มเงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียว และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินหากจำเป็นนะครับ