AMZN หุ้นแกร่งฟ้าผ่า! เจาะลึกโอกาสทอง ลงทุน Amazon ง่ายๆ สไตล์ไทย

ช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกดูจะขยับตัวกันอย่างคึกคัก มีทั้งปัจจัยบวกปัจจัยลบมาให้เราลุ้นกันตลอดเวลาเลยนะครับ โดยเฉพาะตลาดหุ้นใหญ่อย่างสหรัฐฯ ที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาดูอยู่ใกล้ชิด

ล่าสุดเนี่ย ตลาดหุ้นหลักของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นดัชนีดาวโจนส์ ดัชนีเอสแอนด์พี 500 หรือแม้แต่ดัชนีแนสแด็ก คอมโพสิต ก็ปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อย เป็นผลมาจากการเจรจาการค้าที่ดูเหมือนจะมีสัญญาณที่ดีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน แต่พอมีข่าวตึงเครียดจากตะวันออกกลาง อย่างกรณีอิสราเอลโจมตีอิหร่าน ตลาดฟิวเจอร์สของสหรัฐฯ ก็ร่วงลงไปทันทีเลย เห็นไหมครับว่าแค่ข่าวเดียวก็พลิกตลาดได้เลยจริงๆ

บรรยากาศการลงทุนช่วงนี้เลยค่อนข้างระมัดระวังกันหน่อย ถึงแม้ว่าดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะอยู่ใกล้จุดสูงสุดตลอดกาลมากๆ (ห่างแค่ประมาณ 2% เอง) และสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีหลักทั้งสามก็ขึ้นมาสามสัปดาห์ติดแล้วก็ตาม ความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายภาษีของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ตลาดไม่ค่อยสบายใจนัก

นอกเรื่องการค้าและการเมืองระหว่างประเทศแล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องดูอย่างใกล้ชิด เพราะมันบอกเราว่าเงินเฟ้อจะเป็นยังไง เศรษฐกิจโดยรวมเป็นยังไง อย่างตัวเลขความเชื่อมั่นธุรกิจขนาดเล็กที่เพิ่งออกมาก็ปรับตัวสูงขึ้นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ส่วนหนึ่งเพราะช่วงนั้นอาจจะมีการพักเรื่องเก็บภาษีนำเข้ากับจีนชั่วคราว

แต่ที่นักลงทุนกำลังรอจับตามากๆ คือรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ CPI เดือนพฤษภาคม ที่จะประกาศเร็วๆ นี้ เพราะนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เค้าคาดกันว่าแรงกดดันด้านราคาน่าจะเร่งตัวขึ้นอีกนิด ซึ่งถ้าเงินเฟ้อสูงขึ้น ก็อาจส่งผลต่อนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ ส่วนตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ประกาศไปก่อนหน้าก็ออกมาต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์เล็กน้อย ถือเป็นสัญญาณที่ดีในแง่ของต้นทุนสินค้า แต่ก็ยังต้องรอดูภาพรวม

ทีนี้มาดูเรื่องใกล้ตัวนักลงทุนหลายๆ คนในไทยกันดีกว่า นั่นก็คือหุ้นรายตัวที่มีคนสนใจเยอะมากๆ หนึ่งในนั้นก็คือ หุ้น amzn หรือ บริษัท Amazon.com, Inc. ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซและเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ นั่นเอง

Amazon ไม่ได้มีแค่ร้านค้าออนไลน์ที่เราคุ้นเคยกันนะครับ รายได้ของบริษัทนี้มาจากหลายทางมากๆ แบ่งเป็นหลักๆ เลยคือ:

1. **ร้านค้าออนไลน์ (Online Store):** อันนี้เรารู้จักกันดี ซื้อของกันผ่านเว็บนี่แหละ
2. **บริการสำหรับผู้ขายบุคคลที่สาม (Third-Party Seller Services):** Amazon เปิดแพลตฟอร์มให้คนอื่นมาขายของ แล้วก็เก็บค่าธรรมเนียม ค่าส่งของให้ (Fulfillment) อันนี้ก็รายได้ดีนะ
3. **Amazon Web Services (AWS):** นี่คือขุมทรัพย์ที่แท้จริงของ Amazon เลยครับ! AWS เป็นผู้นำตลาดคลาวด์คอมพิวติ้ง หรือบริการเก็บข้อมูล ประมวลผล บนอินเทอร์เน็ต ที่บริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลกใช้บริการกัน รายได้ส่วนนี้เนี่ยแหละที่ทำกำไรให้ Amazon เป็นกอบเป็นกำมากๆ และยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากๆ ด้วยนะ

4. **บริการโฆษณา (Advertising Services):** ลองสังเกตดูเวลาเราเข้า Amazon จะมีสินค้าที่ขึ้นว่า “Sponsored” นั่นแหละคือรายได้จากโฆษณา ซึ่งธุรกิจนี้ก็โตเร็วมากๆ เหมือนกัน
5. **บริการสมัครสมาชิก (Subscription Services):** หลักๆ ก็คือ Amazon Prime นั่นเองครับ สมาชิก Prime ได้สิทธิพิเศษเพียบ ทั้งส่งฟรี ส่งเร็ว ดูหนังฟังเพลง รายได้ส่วนนี้ก็เข้ามาเรื่อยๆ จากค่าสมาชิก
6. **ร้านค้าจริง (Physical Stores):** เช่น Whole Foods หรือร้าน Amazon Go ที่ไม่มีพนักงาน อันนี้ก็เป็นอีกช่องทางรายได้

จากข้อมูลล่าสุด (ช่วง Q1-Q3 ปี 2024) Amazon มีรายได้รวมไปแล้วกว่า 4.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว โดยสัดส่วนรายได้มาจาก AWS เกือบ 25% และ AWS ยังคงเติบโตได้ดีถึง 19.05% ในไตรมาสล่าสุด ส่วนบริการโฆษณาก็คิดเป็นเกือบ 9% และยังเติบโตต่อเนื่อง กำไรสุทธิในไตรมาสล่าสุดก็สูงถึง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรที่ดีเยี่ยม

มูลค่าตลาดของ Amazon ณ วันที่ 13 มิถุนายน 2568 เนี่ย ทะลุ 2.13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปแล้ว คิดดูว่าใหญ่ขนาดไหน! พนักงานก็มีเป็นล้านคนทั่วโลกเลยนะ

ส่วนเรื่องราคา หุ้น amzn ตอนนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 13 มิถุนายน 2568) ซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณ 213 ดอลลาร์สหรัฐฯ ห่างจากจุดสูงสุดตลอดกาลที่เคยทำไว้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ 242 ดอลลาร์สหรัฐฯ นิดหน่อย ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ปรับตัวขึ้นมาได้พอสมควร แต่ถ้าย้อนดูรายเดือนก็อาจจะเห็นว่ามีช่วงที่ปรับฐานลงไปบ้าง

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่ติดตาม หุ้น amzn ก็ยังให้คำแนะนำในเชิงบวกนะครับ มีทั้งให้ “ซื้อ” และ “เป็นกลาง” เป้าหมายราคาที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ก็มีหลากหลาย ตั้งแต่ต่ำสุดที่ 195 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไปจนถึงสูงสุดที่ 290 ดอลลาร์สหรัฐฯ เลย แสดงว่ายังมีอัพไซด์ (ส่วนต่างราคาที่คาดว่าจะขึ้นไปถึง) อยู่นะ

หุ้น amzn เคยมีการแตกหุ้น หรือ Stock Split มาแล้วหลายครั้ง ครั้งล่าสุดคือปี 2565 ในอัตรา 20 ต่อ 1 ซึ่งการแตกหุ้นมักจะทำให้ราคาต่อหุ้นถูกลง และอาจจะดึงดูดนักลงทุนรายย่อยได้มากขึ้น

ข่าวดีที่เข้ามาเสริมก็มีนะ อย่างกองทุนใหญ่ของ บิล แอคแมน อย่าง Pershing Square ก็เข้าลงทุนใน Amazon แสดงว่านักลงทุนระดับโลกก็ยังเชื่อมั่น หรือการที่ Nike ตัดสินใจกลับมาขายสินค้าโดยตรงบนแพลตฟอร์ม Amazon ในสหรัฐฯ อีกครั้ง ก็น่าจะส่งผลดีกับ Amazon ทั้งในแง่รายได้และภาพลักษณ์

มองไปที่หุ้นเทคโนโลยีตัวอื่นอย่าง Tesla เองก็ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเหมือนกัน จากข่าวดีเรื่องโครงการรถยนต์ไร้คนขับ (RoboTaxi) ที่กำลังจะเปิดตัว แสดงว่าข่าวสารเฉพาะบริษัทก็มีผลกับราคาหุ้นมากๆ

นอกเหนือจากหุ้นแล้ว สินทรัพย์อื่นๆ อย่างทองคำและเงินก็มีการพักฐานลงมาบ้าง หลังจากที่ขึ้นไปค่อนข้างแรงก่อนหน้านี้ ส่วนหนึ่งเพราะความไม่แน่นอนเรื่องภาษีของทรัมป์ และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง แต่ที่น่าสนใจคือ Bitcoin ที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ทำราคาทะลุ 109,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไปแล้ว ปัจจัยหนุนก็มาจากการที่บริษัทใหญ่ๆ อย่าง MicroStrategy ยังคงซื้อ Bitcoin เข้ามาเก็บไว้ในงบดุล และกฎหมายเกี่ยวกับ Stablecoin ที่เริ่มชัดเจนขึ้น บางคนมองว่า Bitcoin อาจจะเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันเงินเฟ้อได้ดีกว่าทองคำด้วยซ้ำไป

สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจ หุ้น amzn โดยตรง การลงทุนในหุ้นต่างประเทศอาจจะดูยุ่งยาก แต่เรามีตัวช่วยครับ นั่นก็คือ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ Depositary Receipt (DR) ที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย (KTB) บน หุ้น amzn ซึ่งเจ้า DR ตัวนี้มีการซื้อขายบนตลาดหลักทรัพย์ไทยเลย สะดวกมากๆ เหมือนซื้อขายหุ้นไทยทั่วไปนี่แหละครับ จากข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 DR ของ หุ้น amzn (ที่ออกโดย KTB) ปิดที่ 1.77 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 1.14% ด้วยนะ มีปริมาณการซื้อขายค่อนข้างคึกคักเลย

สรุปแล้ว หุ้น amzn ยังคงเป็นหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำของโลกที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งมากๆ โดยเฉพาะธุรกิจคลาวด์อย่าง AWS ที่เป็นตัวทำกำไรหลัก และธุรกิจโฆษณาที่กำลังเติบโต รวมถึงระบบนิเวศที่แข็งแกร่งอย่าง Amazon Prime แม้ภาพรวมตลาดจะมีปัจจัยผันผวนทั้งจากเศรษฐกิจมหภาค ภูมิรัฐศาสตร์ หรือนโยบายต่างๆ แต่ด้วยความหลากหลายทางธุรกิจและการเติบโตที่ต่อเนื่อง Amazon ก็ยังเป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลก

สำหรับใครที่กำลังสนใจ หรือถือ หุ้น amzn อยู่ ก็ต้องติดตามข่าวสารรอบด้านอย่างใกล้ชิด ทั้งผลประกอบการบริษัท ทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสถานการณ์โลกด้วยนะครับ

สุดท้ายนี้ อยากจะย้ำเตือนเสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และควรลงทุนในจำนวนเงินที่สามารถรับความเสี่ยงได้ หากไม่มั่นใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนก่อนนะครับ การลงทุนในหุ้นรายตัวมีความผันผวนสูงกว่าการลงทุนในกองทุนรวม หรือ DR เองก็มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงเฉพาะของตัวผู้ออก DR ด้วยนะครับ ศึกษาให้ดีก่อนนะครับ!