เจาะลึก หุ้น เทคโนโลยี : โอกาสทองหรือกับดักนักลงทุน?

เพื่อนๆ เคยลองนึกภาพชีวิตประจำวันที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ไม่มีอินเทอร์เน็ต หรือไม่มีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ เข้ามาเลยไหมครับ? คงจะรู้สึกเหมือนย้อนยุคไปไกลลิบเลยใช่ไหม? นั่นแหละครับ คือภาพสะท้อนว่าเทคโนโลยีมันเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตเราขนาดไหน แล้วพอเทคโนโลยีมันสำคัญขนาดนี้ บริษัทที่ทำเกี่ยวกับเทคโนโลยีก็เลยน่าสนใจในมุมของการลงทุนไปด้วย วันนี้ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินรุ่นเก๋าที่พยายามย่อยเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ผมอยากชวนทุกคนมาคุยกันเรื่อง “หุ้น เทคโนโลยี” ครับ ว่ามันคืออะไร น่าสนใจตรงไหน แล้วมีข้อควรระวังยังไงบ้าง

หุ้น เทคโนโลยี พูดง่ายๆ ก็คือ หุ้นของบริษัทที่อยู่ในธุรกิจเทคโนโลยีโดยตรง หรือใช้เทคโนโลยีเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจ ส่วนใหญ่ หุ้น เทคโนโลยี มักถูกจัดเป็นกลุ่ม “หุ้นเติบโต” (Growth Stock) คือมีศักยภาพในการสร้างรายได้ใหม่ๆ ได้เร็วมาก อาจจะยังไม่ได้มีกำไรเยอะ หรือบางทีก็ยังไม่มีกำไรเลยในช่วงแรก เพราะต้องทุ่มเงินลงทุนมหาศาลไปกับการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ นี่เลยเป็นเหตุผลที่บางครั้งเวลาดูค่า P/E (อัตราส่วนราคาต่อกำไร) ของหุ้นกลุ่มนี้ อาจจะดูสูงลิ่วจนตกใจ และอาจจะไม่ใช่เครื่องมือเดียวที่ใช้วัดความถูกความแพงได้เสมอไปครับ

ทำไมเราถึงควรหันมามอง หุ้น เทคโนโลยี ในระยะยาว? คำตอบมันเชื่อมโยงกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคตเลยครับ สมัยก่อนเศรษฐกิจเติบโตได้จากการมีแรงงานเยอะๆ หรือใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยุคนี้ทรัพยากรมันมีจำกัด แถมหลายประเทศประชากรก็เริ่มลดลง การเติบโตของเศรษฐกิจเลยต้องพึ่งพาการใช้ทรัพยากรที่เรามีอยู่ให้ “มีประสิทธิภาพ” มากที่สุด ซึ่งกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกประสิทธิภาพนี้ก็คือ “เทคโนโลยี” ครับ เทคโนโลยีไม่ได้มีแค่คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต หรือ AI (ปัญญาประดิษฐ์) แต่มันครอบคลุมไปถึงเครื่องจักรในโรงงานที่ฉลาดขึ้น แม่นยำขึ้น อย่างที่เขาว่ากันว่ากลยุทธ์การลงทุนที่ให้ความสำคัญกับ “เทคโนโลยี” มักจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดโดยรวมในระยะยาว แต่มุมที่น่าสนใจจริงๆ คือ หุ้นที่มีศักยภาพจะเติบโตแบบก้าวกระโดด อาจไม่ใช่หุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จไปแล้ว แต่เป็นหุ้นของบริษัทที่เพิ่งเริ่มต้นต่างหากครับ

พอพูดถึง หุ้น เทคโนโลยี หลายคนก็น่าจะนึกถึงพี่ใหญ่ระดับโลกในอเมริกาเป็นอันดับแรกๆ ใช่ไหมครับ อย่างเช่น Apple (แอปเปิล) ที่เน้น iPhone (ไอโฟน) และธุรกิจบริการ (Apple TV+, Apple Music) อนาคตปี 2025 ก็คาดว่ารายได้จากบริการจะยังเป็นตัวขับเคลื่อน แต่ก็มีโจทย์เรื่องการเติบโตที่อาจชะลอตัวและการแข่งขันที่สูงขึ้น ส่วน Nvidia (เอ็นวิเดีย) นี่ขึ้นแท่นผู้นำตลาดชิป AI ตัวแรง (อย่างชิป H100 (เอช 100), Blackwell (แบล็กเวลล์), Rubin (รูบิน)) และกำลังขยายไปสู่รถยนต์ไร้คนขับและหุ่นยนต์ ปี 2025 คาดว่ายังคงครองตลาดชิป AI แต่ก็ต้องระวังเรื่องกฎระเบียบต่างๆ โดยเฉพาะในจีน และอัตราการเติบโตที่อาจจะไม่ได้พุ่งแรงเท่าช่วงก่อนหน้านี้ จากข้อมูลล่าสุด Nvidia มีรายได้ถึง 44.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (เพิ่มขึ้น 69% จากปีก่อน) และกำไรสุทธิ 22.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว ส่วน Alphabet (อัลฟาเบต) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google (กูเกิล) ก็กำลังทุ่มเทให้กับการพัฒนา AI และการวิเคราะห์ข้อมูล คาดว่าปี 2024 รายได้จะยังคงเติบโตจากการโฆษณาออนไลน์ สำหรับ Microsoft (ไมโครซอฟต์) มีข่าวว่าเตรียมใช้เงินมหาศาลถึง 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.7 ล้านล้านบาท) ในปีงบประมาณ 2025 เพื่อสร้าง AI Data Center (ศูนย์ข้อมูล AI) แม้จะมีการปรับโครงสร้างองค์กรและเลย์ออฟพนักงานบางส่วน แต่กำไรไตรมาสล่าสุดก็ยังคงเติบโตได้ดีจากธุรกิจ AI Cloud ครับ ส่วน Meta Platforms (เมตา แพลตฟอร์มส์) ก็รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด (ช่วง ต.ค. 67) แข็งแกร่งมาก กำไรพุ่งถึง 35% และประกาศแผนทุ่มงบลงทุน AI อย่างหนักในปีหน้า

แต่ หุ้น เทคโนโลยี ระดับโลกไม่ได้มีแค่อเมริกาครับ ยังมีพี่เบิ้มจากเอเชียที่น่าจับตา อย่าง Tencent Holdings Limited (เทนเซ็นต์ โฮลดิ้งส์) บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีนและเอเชีย ที่มีบริการหลากหลายมากๆ ตั้งแต่เสิร์ชเอนจิน โซเชียล (WeChat (วีแชท) มีผู้ใช้งานกว่า 1.38 พันล้านคน!) เกม (เป็นบริษัทเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก!) ไปจนถึงระบบชำระเงินมือถือ Tencent มีประวัติการลงทุนที่ดุดันในต่างประเทศ โดยเฉพาะในบริษัทเกมและเทคโนโลยีทั่วโลก รวมถึงในอาเซียนด้วยนะครับ นอกจากนี้ยังเริ่มเข้าสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซผ่าน WeChat Mini Shops (วีแชท มินิช็อป) อีกด้วย อย่างไรก็ตาม การลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีจีนก็มีข้อควรพิจารณาครับ เพราะได้รับผลกระทบจากนโยบายควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) และความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน (เช่น การคว่ำบาตรด้านเซมิคอนดักเตอร์) ทำให้ Valuation (การประเมินมูลค่า) ของหุ้นจีนมักจะต่ำกว่าหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งสำหรับนักลงทุนบางคน นี่ก็อาจมองว่าเป็น “โอกาส” ในการเข้าลงทุนในราคาที่เหมาะสมได้ครับ

แล้วตลาด หุ้น เทคโนโลยี ในบ้านเราเป็นยังไงบ้าง? ต้องบอกว่าในตลาดหุ้นไทยเอง เราอาจจะยังไม่มีบริษัทที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีระดับโลกจริงๆ จังๆ มากนัก ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และสื่อสารครับ แม้เราจะไม่มีหุ้นกลุ่ม “เทคโนโลยี” แยกชัดเจน แต่หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และสื่อสารของเราก็มีความน่าสนใจและเติบโตตามกระแส หุ้น เทคโนโลยี ทั่วโลกไปด้วยครับ ข้อมูลช่วง ต.ค. 66 บอกว่ามูลค่าตลาด (Market Cap) ของหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในไทยเติบโตขึ้นมากถึงประมาณ 40% เมื่อเทียบกับเดือน ก.ค. 66 กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อย่าง DELTA (เดลต้า), HANA (ฮาน่า), KCE (เคซีอี) ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า ทำให้รายได้จากการส่งออกดีขึ้น แต่ราคาก็ปรับขึ้นไปค่อนข้างมากแล้วครับ ส่วนกลุ่มสื่อสาร อย่าง ADVANC (แอดวานซ์) ที่มีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง หรือ TRUE (ทรู) ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงหลังควบรวมกิจการได้ ก็ดูน่าสนใจในช่วงไตรมาส 4 ปี 66 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 1 ปี 67 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันและได้ปัจจัยหนุนจากนโยบายลดต้นทุนค่าไฟฟ้าด้วยครับ นอกจากนี้ก็มีข่าวว่า Jensen Huang (เจ็นเซิน หวาง) ซีอีโอของ Nvidia เตรียมจะมาเยือนไทยในเดือน ธ.ค. 2024 นี้ด้วยครับ ซึ่งก็น่าจะมีการพูดถึงแผนการลงทุนในไทยเพิ่มเติม

ข้ามไปดูที่สิงคโปร์เพื่อนบ้านเราบ้าง ตลาดหุ้นสิงคโปร์ก็มีหุ้นเทคที่น่าสนใจหลายตัวครับ ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 หุ้นเทค 10 ตัวแรกที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิมากที่สุด ให้ผลตอบแทนรวมเฉลี่ยถึง 15% (รวมเงินปันผล) หุ้นอย่าง Venture (เวนเจอร์), iFAST (ไอแฟสต์), Frencken (เฟรนเคน) ก็เป็นตัวอย่างที่นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจครับ นอกจากนี้ยังมี กองทุน ETF (กองทุนอีทีเอฟ) ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทยที่อยากลงทุนในหุ้นเทคต่างประเทศด้วย อย่าง กองทุน ETF CSOP iEdge Southeast Asia+ TECH (ซีเอสโอพี ไอเอดจ์ เซาท์อีสต์ เอเชีย+ เทค) ที่ลงทุนในหุ้นเทคหลากหลายในเอเชีย ทั้งอินเดีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย โดยมีหุ้นใหญ่ๆ ในพอร์ต เช่น Delta Electronics (เดลต้า อิเล็กทรอนิกส์) ซึ่ง Delta Electronics (TDED) เองก็จดทะเบียนในไทยด้วย แต่สามารถซื้อขายผ่านตราสารแสดงสิทธิในสิงคโปร์ได้ หรือจะเป็น กองทุน ETF Lion-OCBC Securities Hang Seng Tech ETF (ไลออน-โอซีบีซี ซีเคียวริตีส์ แฮงเส็ง เทค อีทีเอฟ) ที่ตามดัชนีหุ้นเทคของฮ่องกง ซึ่งมีการซื้อขายคึกคัก ได้แรงหนุนจากหุ้นเทคในจีนและภาคยานยนต์ไฟฟ้าที่ฟื้นตัว การที่ภาคการผลิตและการค้าของสิงคโปร์มีแนวโน้มขาขึ้น (โดยเฉพาะดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Electronics PMI ที่สูงเกือบ 6 ปี) ก็ส่งสัญญาณที่ดีต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในภูมิภาคครับ การลงทุนในหุ้นนอกสำหรับนักลงทุนไทยปัจจุบันก็ทำได้ง่ายและสะดวกขึ้นมาก บางแพลตฟอร์มการลงทุนระหว่างประเทศ อย่าง Moneta Markets (โมเนต้า มาร์เก็ตส์) ก็มีตัวเลือกหลากหลายสำหรับนักลงทุน

ก่อนจะพุ่งเข้าไปซื้อ หุ้น เทคโนโลยี ยกแผง ต้องมาดูภาพใหญ่และข้อควรพิจารณาที่สำคัญกันหน่อยครับ ตอนนี้ภาคเทคโนโลยีมีสัดส่วนมูลค่าตลาดรวมต่อตลาดทั้งระบบใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวัง แม้ความใหญ่โตนี้จะอธิบายได้ด้วยกำไรที่เติบโตดีกว่าตลาดรวม แต่ประวัติศาสตร์สอนเราว่าไม่มีภาคธุรกิจไหนที่จะสามารถให้ผลตอบแทนเหนือตลาดได้อย่างต่อเนื่องตลอดไปครับ ลองนึกถึงฟองสบู่ดอทคอมปี 2000 หรือกลุ่มหุ้น Nifty 50 ในปี 1973 ที่เคยเป็นที่นิยมสุดๆ แล้วก็มีช่วงที่ราคาปรับฐานลงมาหนักๆ การที่ตลาดไปกระจุกตัวอยู่ใน หุ้น เทคโนโลยี ขนาดใหญ่มากๆ บางตัว (ที่เรียกว่า Magnificent Seven ก็มีส่วน) อาจไม่ใช่ภาพสะท้อนของอนาคตทั้งหมดเสมอไปครับ

ดังนั้น การ “กระจายความเสี่ยง” จึงเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ครับ แทนที่จะลงทุนแค่ในหุ้นเทคใหญ่ๆ ในอเมริกา ลองพิจารณาลงทุนในบริษัทที่อยู่นอกสหรัฐอเมริกาบ้าง หรืออาจจะลองกระจายแบบ Equal Weight (ให้น้ำหนักหุ้นเท่ากัน) แทนที่จะให้น้ำหนักตาม Market Cap นอกจากนี้ ลองมองไปที่กลุ่มเทคโนโลยีที่อยู่นอกสหรัฐอเมริกาที่มีขนาดเล็กกว่าหน่อย หรือถ้าอยากลดความผันผวน อาจจะเน้นไปที่กลุ่ม Hardware (ฮาร์ดแวร์) เป็นหลักก็ได้ครับ

การทำความเข้าใจกลุ่มย่อยของภาคเทคโนโลยีก็ช่วยให้เรากระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้นครับ ภาคเทคโนโลยี (Information Technology) หลักๆ จะแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่คือ Semiconductor (เซมิคอนดักเตอร์) หรือพวกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี กลุ่มนี้มีมูลค่าตลาดรวมใหญ่ที่สุดในกลุ่มย่อย ทำกำไรได้สูง แต่รายได้คาดเดายาก ขึ้นอยู่กับ Demand/Supply และการเมืองด้วยครับ ส่วนใหญ่บริษัทใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ (NVIDIA, Broadcom (บรอดคอม), AMD, Intel (อินเทล)) และ Taiwan Semiconductor (TSMC) (ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ หรือ TSMC) กลุ่มที่สองคือ Software and Services (ซอฟต์แวร์และบริการ) เป็นเทคโนโลยีที่จับต้องไม่ได้ เติบโตสูง มักมี Valuation แพงที่สุด แต่ผันผวนและคาดเดากำไรยากในอดีต ปัจจุบันบริษัทใหญ่ๆ (Microsoft, Salesforce (เซลส์ฟอร์ซ), Adobe (อะโดบี)) เปลี่ยนโมเดลมาเป็นให้บริการ ทำให้คาดเดาผลประกอบการง่ายขึ้น กำไรแข็งแกร่ง แต่ราคาก็มักจะแพงครับ กลุ่มสุดท้ายคือ Hardware (ฮาร์ดแวร์) เป็นเทคโนโลยีที่จับต้องได้ มักทำกำไรได้น้อยกว่าและเติบโตช้ากว่ากลุ่มซอฟต์แวร์ แต่มีแนวโน้มคืนกำไรให้ผู้ถือหุ้นมากกว่า (ปันผล หรือซื้อหุ้นคืน) เช่น ผู้ผลิตมือถือ แล็ปท็อป พีซี (Apple, Dell (เดลล์), Lenovo (เลอโนโว), Samsung Electronics (ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์)) กลุ่มนี้มีความคล้ายสินค้าฟุ่มเฟือย เชื่อมโยงกับวัฏจักรเศรษฐกิจ และผลประกอบการมักเชื่อมโยงกับส่วนแบ่งตลาด (Market Share) ที่ไม่ผันผวนเท่าไหร่ครับ การลงทุนในกลุ่มนี้มักมีระยะเวลาที่ค่อนข้างชัดเจน

หากนักลงทุนสนใจลงทุนใน หุ้น เทคโนโลยี ระดับโลกผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น กองทุนรวม หรือบริการจัดการพอร์ต ก็ต้องพิจารณาเรื่อง “ค่าธรรมเนียม” ด้วยนะครับ ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่มักจะมีคือ ค่าธรรมเนียมการบริหารกองทุน (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อปีจากมูลค่าสินทรัพย์) ค่าธรรมเนียมตามผลกำไร (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากกำไรที่เราทำได้ ถ้ามี) และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจริง เช่น ค่าธรรมเนียมซื้อขายสินทรัพย์ หรือค่าธรรมเนียมรับฝากสินทรัพย์ ซึ่งรายละเอียดก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละบริการครับ

สรุปแล้ว หุ้น เทคโนโลยี ยังคงเป็นธีมการลงทุนที่น่าสนใจในระยะยาวอย่างแน่นอน เพราะเทคโนโลยีคืออนาคตและเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่การลงทุนใน หุ้น เทคโนโลยี ก็มาพร้อมความผันผวนและความเสี่ยงสูง ทั้งจาก Valuation ที่อาจจะแพง การแข่งขันที่รุนแรง การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และปัจจัยด้านกฎระเบียบหรือภูมิรัฐศาสตร์

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนใน หุ้น เทคโนโลยี ควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ และที่สำคัญที่สุดคือ “กระจายความเสี่ยง” ครับ อย่าใส่เงินทั้งหมดใน หุ้น เทคโนโลยี เพียงกลุ่มเดียวตัวเดียว ลองแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ หรือกระจายไปใน หุ้น เทคโนโลยี ที่หลากหลาย ทั้งภูมิภาค ประเภทธุรกิจ หรือขนาดของบริษัท การลงทุนแบบระยะยาวและใจเย็นน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่าการเก็งกำไรในระยะสั้นครับ

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ โดยเฉพาะการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ หรือสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง และหากเงินลงทุนไม่ใช่เงินเย็น หรือสภาพคล่องไม่สูงนัก ควรประเมินความพร้อมและกระจายความเสี่ยงให้ดีก่อนครับ