หุ้นโรงไฟฟ้า: โอกาสทองหรือหลุมดำ? เจาะลึกก่อนลงทุน!

เอาล่ะครับ มานั่งคุยกันสบายๆ เรื่องใกล้ตัวที่บางทีเราก็มองข้ามไป ทั้งๆ ที่มันเกี่ยวกับชีวิตประจำวันเราทุกคน นั่นก็คือเรื่อง “ไฟฟ้า” เนี่ยแหละครับ ลองคิดดูสิครับ ทุกเช้าที่เราตื่นมา เปิดไฟ ชงกาแฟ เปิดแอร์ หรือแม้แต่ชาร์จมือถือ พลังงานไฟฟ้าก็อยู่รอบตัวเราไปหมด แล้วเคยสงสัยไหมว่าไฟฟ้าที่เราใช้ๆ กันอยู่เนี่ย มาจากไหนกันบ้าง?

และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ บริษัทที่ผลิตไฟฟ้าให้เราใช้กันอยู่เนี่ย เขาทำธุรกิจยังไง? แล้วถ้าอยากเป็นเจ้าของกิจการโรงไฟฟ้าเล็กๆ สักส่วนหนึ่งผ่านการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ จะต้องดูอะไรบ้าง? วันนี้ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้ฟังง่ายๆ เราจะมาแกะกล่องดูเรื่องราวของ หุ้น โรง ไฟฟ้า ในไทยกันแบบถึงพริกถึงขิงครับ

หุ้น โรง ไฟฟ้า: มองเผินๆ อาจจะดูน่าเบื่อ ไม่หวือหวาเท่าหุ้นเทคฯ หรือหุ้นปั่น แต่รู้ไหมครับว่าหุ้นกลุ่มนี้ถูกจัดว่าเป็น “หุ้นปลอดภัย” (Defensive Stocks) เลยนะ เหมือนเวลาเราหลบพายุ หุ้นพวกนี้มักจะยืนหยัดได้ค่อนข้างดีกว่ากลุ่มอื่นในช่วงเศรษฐกิจผันผวน เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะไฟฟ้ามันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ชีวิตยุคใหม่ขาดไม่ได้ไงครับ ต่อให้เศรษฐกิจจะซบเซาแค่ไหน เราก็ยังต้องเปิดไฟ ใช้แอร์ ใช้คอมพิวเตอร์ใช่ไหมล่ะ

รายได้หลักๆ ของบริษัทโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่ มาจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement – PPA) ระยะยาวกับหน่วยงานรัฐอย่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ. – EGAT) หรือการไฟฟ้านครหลวง (กฟน. – MEA) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ. – PEA) นี่แหละครับ สัญญาพวกนี้ช่วยสร้างความมั่นคงทางรายได้ได้ดี แต่ก็มีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาเหมือนกันนะ ไม่ใช่แค่ว่ามีสัญญาแล้วจะการันตีกำไรเสมอไป

กว่าจะเป็นไฟฟ้าให้เราใช้ หุ้น โรง ไฟฟ้า ก็มีเรื่องราวซับซ้อนอยู่

ถ้าจะเจาะลึกเรื่องหุ้นโรงไฟฟ้า เราต้องเข้าใจปัจจัยหลายอย่างผสมกันครับ เหมือนจะทำอาหารอร่อยๆ ต้องรู้ส่วนผสม รู้เทคนิค และรู้ว่าใครจะมากินบ้าง ปัจจัยหลักๆ ที่ส่งผลต่อหุ้นกลุ่มนี้ก็มีตั้งแต่:

* **ภาพรวมอุตสาหกรรมและความต้องการใช้ไฟฟ้า:** อันนี้ก็ตรงไปตรงมาครับ เศรษฐกิจดี คนใช้ไฟเยอะ บริษัทโรงไฟฟ้าก็ได้ประโยชน์ แต่ถ้าเศรษฐกิจชะลอ ความต้องการใช้ไฟก็อาจจะไม่เติบโตเท่าที่ควร ยิ่งตอนนี้มีเทรนด์ใหม่ๆ อย่างการลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) ขนาดใหญ่ในไทย อย่างที่ Google เข้ามาลงทุนเนี่ย ก็เป็นปัจจัยบวกที่สร้างความต้องการใช้ไฟฟ้ามหาศาลเลยนะ อันนี้ก็น่าจับตาครับ
* **นโยบายภาครัฐ:** นี่เป็นตัวแปรสำคัญมากๆ เลยครับ เพราะรัฐบาลมีบทบาทกำกับดูแลภาคพลังงานอย่างใกล้ชิดผ่านแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) และแผนอื่นๆ รวมถึงการกำหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะ “ค่า Ft” (ค่าไฟฟ้าผันแปร) ซึ่งเป็นค่าที่ปรับขึ้นลงตามต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชน ไอ้ค่า Ft เนี่ยแหละครับ เป็นตัวแปรที่กระทบรายได้และกำไรของบริษัทโรงไฟฟ้าโดยตรงเลย ถ้าค่า Ft ลดลง บริษัทที่รับซื้อขายไฟฟ้าตามโครงสร้างค่า Ft ที่มีการปรับลดลง ก็อาจจะเห็นรายได้และกำไรลดลงตามไปด้วย อย่างช่วงที่ผ่านมาที่ค่า Ft มีการปรับลด ก็ทำให้หุ้นโรงไฟฟ้าหลายตัวถูกเทขายออกมาพอสมควรครับ แต่ในทางกลับกัน ถ้ารัฐมีนโยบายสนับสนุนพลังงานทดแทน เช่น การเปิดประมูลโครงการใหม่ๆ ในรูปแบบ FiT (Feed-in Tariff) หรือ Adder อันนี้ก็จะเป็นโอกาสในการเติบโตของบริษัทที่ชนะการประมูลครับ
* **ต้นทุนการผลิต:** เชื้อเพลิงหลักที่ใช้ผลิตไฟฟ้าในไทยส่วนใหญ่คือก๊าซธรรมชาติ ดังนั้น ราคาของก๊าซธรรมชาติจึงเป็นตัวแปรสำคัญต่อต้นทุนของโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ถ้าต้นทุนก๊าซลดลง กำไรก็จะดีขึ้น แต่ถ้าก๊าซแพง ต้นทุนก็สูงขึ้น กำไรก็ลดลง อันนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผลประกอบการของบางบริษัทมีการผันผวนครับ
* **สัญญาซื้อขายไฟฟ้าและประเภทโรงไฟฟ้า:** อย่างที่บอกว่าสัญญา PPA สำคัญ แต่รายละเอียดของสัญญาก็แตกต่างกันไปตามประเภทของโรงไฟฟ้าด้วยครับ
* **IPP (Independent Power Producer):** โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่มากๆ (>90 MW) ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. โดยตรง สัญญามักจะยาว มีความมั่นคงสูง บางสัญญามีการรับประกันการจ่ายเงินค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment – AP) แม้จะไม่ได้เดินเครื่องเต็มที่ ทำให้รายได้ค่อนข้างแน่นอน
* **SPP (Small Power Producer):** โรงไฟฟ้าขนาดกลาง (10-90 MW) ขายไฟฟ้าให้ กฟผ. บางส่วน และขายไอน้ำหรือไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมในพื้นที่ รายได้ส่วนหนึ่งจึงผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในนิคมฯ
* **VSPP (Very Small Power Producer):** โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (<10 MW) ส่วนใหญ่เป็นพลังงานหมุนเวียน ขายไฟฟ้าให้ กฟน./กฟภ. มักมีอัตรารับซื้อไฟฟ้าแบบ FiT หรือ Adder ซึ่งราคาจะถูกกำหนดโดยนโยบายรัฐ รายได้กลุ่มนี้จึงอาจจะผันผวนตามสภาพอากาศ (แสงแดด ลม) หรือวัตถุดิบ (ชีวมวล ขยะ) และอ่อนไหวต่อการปรับลดค่า Ft มากกว่ากลุ่มอื่น

มองย้อนผลประกอบการล่าสุด กับแนวโน้มในอนาคต

ถ้าดูผลประกอบการในไตรมาส 1 ปี 2567 ที่ผ่านมา หลายๆ บริษัทในกลุ่ม หุ้น โรง ไฟฟ้า อาจจะเห็นกำไรโดยรวมลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าครับ สาเหตุหลักๆ ก็มาจากเรื่องค่า Ft ที่ปรับลดลงนี่แหละครับ บางบริษัทก็อาจจะมีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือตราสารอนุพันธ์เพิ่มเติมด้วย เช่น GULF เอง แม้ธุรกิจหลักจะยังเติบโต แต่กำไรโดยรวมในไตรมาส 1 ปี 2567 ก็ลดลงไปบ้าง ส่วนบริษัทที่ได้รับผลกระทบชัดๆ จากค่า Ft ที่ลดลงและต้นทุนบางอย่าง ก็เช่น EA, GPSC, TPIPP, BPP ที่กำไรลดลงไป 20-60% เลยในไตรมาสแรกปี 2567 ครับ

แต่! ถ้ามองไปที่แนวโน้มสำหรับปี 2568 นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าภาพรวมจะดีขึ้นกว่าปี 2567 นะครับ เหตุผลสำคัญเลยคือต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงที่พีคมากๆ ปีก่อนหน้า ช่วยให้โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซมีอัตรากำไรดีขึ้น และหลายๆ บริษัทก็มีโครงการใหม่ๆ ที่กำลังจะเริ่มเดินเครื่องผลิตไฟฟ้า หรือเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในปีนี้ครับ

ลองดูประมาณการกำไรปี 2568 ของบริษัทใหญ่ๆ ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล่นๆ นะครับ (ข้อมูลจากบทวิเคราะห์ต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา):

* **GULF:** คาดว่ากำไรจะโตได้ดี อาจจะถึง 20% หนุนจากโครงการใหม่ๆ ในประเทศและพลังงานหมุนเวียน คำแนะนำส่วนใหญ่ให้ “ถือ” ไว้ก่อน
* **GPSC:** คาดว่ากำไรจะฟื้นตัวแรง โตได้ถึง 51% จากต้นทุนก๊าซที่ลดลง และโครงการใหม่ที่กำลังเข้ามา นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้ “ซื้อ”
* **BGRIM:** คาดกำไรโตประมาณ 12% ได้ประโยชน์จากต้นทุนก๊าซที่ลด และปริมาณขายไฟให้ลูกค้าอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น คำแนะนำส่วนใหญ่ให้ “ซื้อ”
* **RATCH:** คาดกำไรโตได้ประมาณ 14% จากส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้าสำคัญในต่างประเทศ เช่น Paiton ในอินโดนีเซีย คำแนะนำส่วนใหญ่ให้ “ซื้อ”
* **EGCO:** คาดกำไรโตได้ประมาณ 21% จากโครงการใหญ่ๆ อย่าง Yunlin ในไต้หวัน และการลงทุนในสหรัฐฯ คำแนะนำส่วนใหญ่ให้ “ซื้อ”
* **CKP:** คาดว่ากำไรจะพุ่งกระฉูด โตถึง 95% เพราะโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีในลาวกลับมาเดินเครื่องได้ตามปกติ หลังผ่านช่วงน้ำน้อยปีก่อน คำแนะนำส่วนใหญ่ให้ “ถือ”
* **BPP:** คาดกำไรโตประมาณ 11% จากฐานที่ต่ำในปี 2567 หลังจากโรงไฟฟ้า Temple I-II ในสหรัฐฯ กลับมาดำเนินการตามปกติ แต่บางโบรกฯ ยังให้คำแนะนำ “UNDERPERFORM” (ต่ำกว่าตลาด) อยู่

จะเห็นได้ว่า แม้ภาพรวมปี 2567 อาจจะดูซึมๆ ไปบ้าง แต่แนวโน้มปี 2568 กลับดูสดใสขึ้นมากสำหรับหลายๆ บริษัทในกลุ่ม หุ้น โรง ไฟฟ้า ซึ่งสะท้อนว่าปัจจัยลบเริ่มคลี่คลาย ในขณะที่ปัจจัยบวกจากต้นทุนและโครงการใหม่ๆ กำลังจะส่งผล

หุ้น โรง ไฟฟ้า กับ “บอนด์ยีลด์” เกี่ยวกันยังไง?

หลายคนอาจจะสงสัยว่าหุ้นโรงไฟฟ้าที่ดูมั่นคงๆ เนี่ย ไปเกี่ยวอะไรกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ด้วย? จำได้ไหมครับว่าหุ้นกลุ่มนี้ถือเป็น “หุ้นปลอดภัย” ที่มักจะจ่ายปันผลค่อนข้างสม่ำเสมอ? ทีนี้ ลองนึกภาพว่าถ้าอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ปลอดภัยสุดๆ อย่างพันธบัตรรัฐบาล (โดยเฉพาะพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เป็นเกณฑ์อ้างอิงสำคัญของโลก) ปรับลดลง การลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมออย่างหุ้นโรงไฟฟ้าที่จ่ายปันผลดี ก็จะดูน่าสนใจขึ้นมาทันทีครับ ราคาหุ้นก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ตามไปด้วย ดังนั้น การเคลื่อนไหวของ Bond Yield ก็เป็นอีกปัจจัยที่นักลงทุนในหุ้นโรงไฟฟ้ามักจะจับตามองครับ

พลังงานสะอาด: โอกาสและโจทย์ใหม่ของ หุ้น โรง ไฟฟ้า

กระแสเรื่อง Net Zero emissions หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจนเป็นศูนย์ กำลังมาแรงทั่วโลก รวมถึงในไทยครับ แผนพลังงานของประเทศก็ให้ความสำคัญกับพลังงานทดแทนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ ชีวมวล หรือพลังงานจากขยะ การเปิดประมูลโครงการพลังงานทดแทนรอบใหม่ๆ ขนาดใหญ่ เป็นเหมือนเค้กก้อนใหม่ที่บริษัทโรงไฟฟ้าต่างก็อยากจะแย่งชิงมาให้ได้

บริษัทที่มีการลงทุนในพลังงานสะอาดอยู่แล้ว หรือมีแผนจะลงทุนเพิ่ม ก็มีโอกาสเติบโตไปกับเมกะเทรนด์นี้ครับ บริษัทใหญ่ๆ ที่มีพอร์ตพลังงานหมุนเวียนน่าสนใจก็มีหลายแห่ง เช่น GULF, GPSC, BGRIM, RATCH, EGCO, BCPG, EA, BPP ซึ่งแต่ละบริษัทก็มีสัดส่วนและประเภทของพลังงานสะอาดที่ลงทุนแตกต่างกันไป บางบริษัทเน้นโซลาร์ บางบริษัทเน้นลม บางบริษัทก็มีทั้งพลังงานน้ำและชีวมวลครับ

แต่พลังงานสะอาดก็มีโจทย์ของมันนะ อย่างพลังงานแสงอาทิตย์หรือลม ก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ทำให้ความเสถียรในการผลิตไม่เท่าโรงไฟฟ้าฟอสซิลที่เดินเครื่องได้ 24 ชม. ทำให้ต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการความผันผวน หรือต้องลงทุนในระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ซึ่งก็เป็นอีกเทรนด์ที่น่าจับตาในอุตสาหกรรมนี้ครับ

สรุปแล้ว หุ้น โรง ไฟฟ้า ยังน่าสนใจอยู่ไหม?

จากที่เล่ามาทั้งหมด จะเห็นว่าการลงทุนใน หุ้น โรง ไฟฟ้า ไม่ได้ง่ายแค่ดูว่าเขาผลิตไฟฟ้าขายอย่างเดียวแล้วครับ มันมีปัจจัยที่ต้องพิจารณามากมาย ทั้งนโยบายรัฐที่คาดเดาได้ยาก (แต่ก็มีทิศทางใหญ่ๆ ให้เห็น), ต้นทุนเชื้อเพลิงที่ผันผวน, การแข่งขันในตลาดพลังงานทดแทนที่สูงขึ้น, และรายละเอียดปลีกย่อยในสัญญา PPA ของแต่ละโครงการ

แต่ในอีกมุมหนึ่ง ด้วยความที่เป็นธุรกิจสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ทำให้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และบริษัทยังมีสัญญาซื้อขายไฟระยะยาวกับภาครัฐ ทำให้ความเสี่ยงทางธุรกิจค่อนข้างต่ำกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ แถมยังมีโอกาสเติบโตจากการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ทั้งโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิมที่ยังจำเป็นต่อความมั่นคงทางพลังงาน และที่สำคัญคือโครงการพลังงานทดแทนตามเทรนด์ของโลก

สำหรับนักลงทุนที่สนใจ หุ้น โรง ไฟฟ้า อาจจะต้องทำการบ้านเพิ่มขึ้นหน่อยครับ ลองดูว่าบริษัทที่เราสนใจ มีพอร์ตโรงไฟฟ้าแบบไหน สัดส่วนพลังงานฟอสซิลกับพลังงานทดแทนเป็นเท่าไหร่ มีโครงการใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตมากน้อยแค่ไหน มีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีแค่ไหน และที่สำคัญคือ ติดตามนโยบายภาครัฐอย่างใกล้ชิดครับ

กลุ่ม หุ้น โรง ไฟฟ้า ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงของกระแสเงินสด หรือมองหาหุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะไม่ได้เห็นการเติบโตของราคาหุ้นแบบก้าวกระโดดเหมือนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และต้องพร้อมรับมือกับความผันผวนจากปัจจัยภายนอกอย่างนโยบายรัฐและต้นทุนพลังงาน

⚠️ ข้อควรระวัง: การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ โดยเฉพาะปัจจัยเสี่ยงเฉพาะของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายค่าไฟฟ้า การยกเลิกสัญญา หรือความล่าช้าของโครงการก่อสร้าง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้และผลกำไรของบริษัทได้ครับ หาก資金流動性不高 (สภาพคล่องทางการเงินไม่สูงนัก) หรือรับความเสี่ยงได้ต่ำ อาจจะต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน หรือแบ่งเงินลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมครับ

สุดท้ายนี้ หวังว่าเรื่องราวของ หุ้น โรง ไฟฟ้า ที่เล่ามาทั้งหมด จะช่วยให้นักลงทุนมองเห็นภาพรวมและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับหุ้นกลุ่มนี้ได้ชัดเจนขึ้นนะครับ ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จครับ!