เจาะลึก Entertainment Complex ไทย: JPMorgan มอง หุ้น ตัวนี้ยังไง?

โอ้โห ช่วงนี้ข่าวคราวบ้านเราคึกคักน่าดูเลยนะครับ โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ ที่กำลังจะพลิกโฉมเศรษฐกิจไทยเนี่ย ยิ่งฟังยิ่งน่าสนใจ เหมือนกำลังดูหนังฟอร์มยักษ์ที่มีตัวละครสำคัญจากทั่วโลกมารวมตัวกันเลย

หนึ่งในนั้นที่หลายคนกำลังจับตาคือ โครงการ Entertainment Complex หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “สถานบันเทิงครบวงจร” (Entertainment Complex) ที่มีคาสิโนเป็นส่วนหนึ่งนี่แหละครับ ตอนแรกหลายคนอาจจะสงสัยว่า ตกลงมันจะไปยังไงต่อ จะทำได้จริงเหรอ หรือจะเป็นแค่ข่าวลือ แต่ล่าสุด ดูเหมือนรัฐบาลไทยจะเอาจริงเอาจังขึ้นเยอะเลยนะครับ

ทาง กระทรวงการคลัง เนี่ย เขากำลังเดินหน้าเต็มที่เลย มีการอัปเดตความคืบหน้าออกมาเรื่อยๆ บอกเลยว่าไม่ได้แค่คิด แต่กำลังวางแผนถึงขั้นจะออกกฎหมายลูกมารองรับแล้วนะ ที่น่าสนใจคือ รูปแบบใบอนุญาตเนี่ย เขาจะใช้ระบบจำกัดจำนวน คล้ายๆ กับที่สิงคโปร์ทำเลย คือไม่ได้เปิดเสรีให้ใครมาตั้งก็ได้ แต่จะเลือกเจ้าใหญ่ๆ ที่มีเงินลงทุนมหาศาล อย่างน้อยๆ ต้องมี 1 แสนล้านบาทต่อโครงการเลยทีเดียว ฟังตัวเลขแล้วขนลุกไหมครับ? นี่มันโปรเจกต์ระดับ “พันล้านดอลลาร์” เลยนะ

ทีนี้ พอมีข่าวคราวชัดเจนแบบนี้ เจพีมอร์แกน (JPMorgan) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินระดับโลกยักษ์ใหญ่ ก็ออกมาวิเคราะห์มุมมองของเขาเหมือนกันครับ เขาบอกว่า การที่ไทยเลือกโมเดลแบบจำกัดใบอนุญาต และอาจจะมีการปรับเกณฑ์ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น การใช้ระบบ “Negative List” (คือทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นสิ่งที่ห้ามไว้) แทนที่จะเป็น Positive List (คือทำได้เฉพาะสิ่งที่ระบุไว้) เนี่ย น่าจะช่วยเปิดโอกาสและขยายตลาดในประเทศได้ดีขึ้นกว่าเดิม

แล้วเส้นเวลาล่ะ จะเกิดขึ้นจริงเมื่อไหร่? ทาง กระทรวงการคลัง คาดการณ์ไว้ว่า ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องน่าจะเข้าสู่สภาฯ ได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม ปี 2568 จากนั้นก็ต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายต่างๆ ซึ่งอาจจะใช้เวลาไปถึงปี 2569 โน่นเลยครับ พอมีกฎหมายรองรับแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการเปิดประมูลใบอนุญาต คาดว่าจะเริ่มได้ประมาณปี 2570 หรือ 2571 ถ้าทุกอย่างราบรื่น เราก็น่าจะได้เห็น Entertainment Complex แห่งแรกเปิดให้บริการจริงๆ ก็อาจจะประมาณปี 2573–2574 ครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องบอกไว้ก่อนว่า เส้นเวลายังขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการเมืองและขั้นตอนกฎระเบียบต่างๆ ด้วยนะ อาจจะมีขยับได้บ้าง

พอพูดถึงศักยภาพตลาดเนี่ย มันไม่ได้มาเล่นๆ เลยนะครับ มีผู้ประกอบการรีสอร์ทครบวงจรระดับโลก อย่างน้อย 4 รายบินตรงมาคุยกับฝ่ายไทยแล้วนะ หนึ่งในนั้นเนี่ย เขาประเมินเลยว่า ถ้าไทยเดินหน้าโครงการนี้ได้สำเร็จ เรามีสิทธิ์ก้าวขึ้นไปเป็น “ตลาดคาสิโนที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก” รองจากลาสเวกัสและมาเก๊าได้สบายๆ เลยครับ ฟังแล้วอ้าปากค้างเลยใช่ไหม? นี่แหละคือมุมมองจากคนในอุตสาหกรรมและสถาบันการเงินอย่าง เจพีมอร์แกน ที่มองเห็นโอกาสมหาศาลตรงนี้

แล้วไอ้โครงการใหญ่เบอร์นี้ มันจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยแค่ไหนล่ะ? ตัวเลขจาก กระทรวงการคลัง บอกว่า ในช่วงที่ Entertainment Complex เปิดดำเนินการแล้ว คาดว่าจะช่วยขับเคลื่อน GDP ของประเทศให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 0.2% ถึง 0.8% เลยนะ ซึ่งตัวเลขนี้ใกล้เคียงกับที่ เจพีมอร์แกน ประเมินไว้เลยครับ ของ เจพีมอร์แกน อยู่ที่ประมาณ 0.29% ถึง 0.97% เห็นไหมว่าตัวเลขจากสองแหล่งนี้ค่อนข้างสอดคล้องกัน แปลว่าผลกระทบน่าจะอยู่ในกรอบประมาณนี้จริงๆ ครับ ส่วนในช่วงก่อสร้างเนี่ย ก็คาดว่าจะช่วยเพิ่ม GDP ได้อีกประมาณ 0.23% คือยังไม่เปิดก็ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว

ไม่ใช่แค่ GDP นะครับ รายได้ของรัฐบาลก็จะเพิ่มขึ้นแบบมีนัยสำคัญเลย กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่า จะมีรายได้จากภาษีและค่าธรรมเนียมจากโครงการนี้เข้ามาในกระเป๋ารัฐบาลราวๆ 12,000 ถึง 40,000 ล้านบาทต่อปีเลยนะ ถ้าคิดเป็นดอลลาร์สหรัฐก็ประมาณ 375 ถึง 1,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งตรงนี้ก็สอดคล้องกับการประเมินของ เจพีมอร์แกน ที่ให้ตัวเลขไว้ที่ 245 ถึง 814 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้สมมุติฐานอัตราภาษีคาสิโนประมาณ 17% ตัวเลขอาจจะต่างกันบ้างตามสมมุติฐาน แต่ก็อยู่ในกรอบหลักหมื่นล้านบาทต่อปีเหมือนกันครับ

นอกจากเงินๆ ทองๆ แล้ว การจ้างงานก็จะเพิ่มขึ้นด้วยนะ กระทรวงการคลัง คาดว่าโครงการนี้จะสร้างงานใหม่ได้ประมาณ 9,000 ถึง 10,000 ตำแหน่งเลยนะ ซึ่งเขาเปรียบเทียบกับ Marina Bay Sands ที่สิงคโปร์ ซึ่งมีจำนวนการจ้างงานประมาณนี้เหมือนกัน ลองนึกภาพว่าคนเกือบหมื่นคนมีงานทำ มีรายได้ ครอบครัวเขาก็ดีขึ้น เศรษฐกิจโดยรวมก็หมุนเวียนดีขึ้นตามไปด้วย

และแน่นอนว่าภาคการท่องเที่ยวคือตัวที่ได้รับอานิสงส์เต็มๆ ครับ โครงการ Entertainment Complex คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยได้อีกราวๆ 1 ถึง 2 แสนล้านบาทต่อปี และที่สำคัญคือ ช่วยเพิ่มค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยวให้สูงขึ้นอีกประมาณ 22,000 บาทต่อคนด้วยนะ เพราะนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการใน Entertainment Complex มักจะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ยิ่งใช้จ่ายเยอะ เงินก็ยิ่งเข้าประเทศเยอะ

ทีนี้ เราได้ยินชื่อ “เจพีมอร์แกน” บ่อยๆ ในฐานะผู้วิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ในตลาดการเงิน แล้ว เจพีมอร์แกน เขาคือใครกันแน่ ทำไมความเห็นของเขาถึงสำคัญ? เอาจริงๆ นะครับ เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค (JPMorgan Chase & Co.) เนี่ย เป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา และใหญ่ที่สุดในโลกด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเลยทีเดียว ลองนึกภาพธนาคารยักษ์ใหญ่ที่ให้บริการทางการเงินครบวงจรมากๆ ตั้งแต่คนธรรมดาอย่างเราๆ ไปจนถึงบริษัทข้ามชาติใหญ่ๆ รัฐบาล หรือแม้แต่มหาเศรษฐี

เขามีธุรกิจหลักๆ 4 ส่วนใหญ่ๆ ครับ คือ
1. Consumer & Community Banking: อันนี้คือธนาคารสำหรับลูกค้ารายย่อยและธุรกิจขนาดเล็ก เหมือนธนาคารที่เราๆ ใช้กันนี่แหละครับ เปิดบัญชี กู้ซื้อบ้าน ใช้บัตรเครดิต
2. Corporate & Investment Bank: อันนี้จะเกี่ยวกับธุรกิจใหญ่ๆ การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ตลาดตราสารหนี้ การควบรวมกิจการ การระดมทุนให้บริษัทใหญ่ๆ ครับ
3. Commercial Banking: อันนี้คือธนาคารสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงใหญ่ แต่ไม่ใช่ระดับข้ามชาติยักษ์ใหญ่เท่าข้อสองครับ
4. Asset & Wealth Management: อันนี้คือการบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งให้กับลูกค้า ทั้งรายบุคคลและสถาบัน จัดการกองทุนต่างๆ ให้ลูกค้า

ลองมาดูสัดส่วนรายได้เขาก็ได้ครับ ข้อมูล 9 เดือนแรกของปี 2567 เนี่ย รายได้หลักๆ มาจาก Consumer & Community Banking ประมาณ 39% และ Corporate & Investment Bank ประมาณ 38% เห็นไหมครับว่ารายได้เขามาจากหลายทางมากๆ ทำให้ธุรกิจค่อนข้างแข็งแกร่ง

จุดเด่นของ เจพีมอร์แกน ก็ชัดเจนมากครับ
* ผู้นำในอุตสาหกรรม: เขายืนหนึ่งในวงการธนาคารมานานมากๆ
* รายได้หลากหลาย: ไม่ได้พึ่งพิงธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากเกินไป
* กำไรดี: ผลประกอบการแข็งแกร่งมาตลอด
* ลงทุนเทคโนโลยี: เขาลงทุนในเรื่องดิจิทัลและเทคโนโลยีทางการเงินเยอะมาก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและบริการ
* ฐานะการเงินมั่นคง: มีอัตราส่วนทางการเงินที่ดี เช่น อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ก็อยู่ในระดับที่น่าสนใจ และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ก็สูงถึง 15.67% ซึ่งถือว่าดีมากๆ

ถ้าถามถึงแนวโน้มการเติบโต เจพีมอร์แกน ก็ยังดูดีอยู่ครับ รายได้รวมก็ยังเติบโตได้ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจบริหารสินทรัพย์เนี่ยก็โตขึ้นเรื่อยๆ มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) สูงกว่า 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าในการให้ เจพีมอร์แกน ช่วยบริหารเงินให้

ประวัติของ เจพีมอร์แกน เนี่ยก็ยาวนานกว่า 200 ปีเลยนะครับ ย้อนกลับไปถึง Bank of Manhattan Company ที่ก่อตั้งตั้งแต่ปี 1799 เลยนะ แล้วกว่าจะมาเป็น เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค อย่างทุกวันนี้ ก็ผ่านการควบรวมกิจการใหญ่ๆ มาหลายครั้ง รวมถึงการรวมร่างกันระหว่าง Chase Manhattan Bank กับ JPMorgan & Co. เมื่อปี 2543 ครับ เรื่องราวการรวมตัวของสถาบันการเงินใหญ่ๆ นี่มันซับซ้อนและน่าทึ่งจริงๆ

สำหรับคนที่สนใจเรื่องการลงทุนในตลาดต่างประเทศ อาจจะมีคำถามว่า แล้ว jp morgan หุ้น น่าสนใจไหม? ราคาหุ้นของ เจพีมอร์แกน หรือหุ้น JPM เนี่ย ก็เหมือนหุ้นอื่นๆ ในตลาดใหญ่ๆ ครับ คือได้รับผลกระทบโดยตรงจากผลการดำเนินงานของบริษัทเอง ว่าทำกำไรได้ดีแค่ไหน ธุรกิจเติบโตยังไง รวมถึงสภาพแวดล้อมทางการเงินโลกโดยรวมด้วย เช่น อัตราดอกเบี้ยว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลง อัตราเงินเฟ้อเป็นยังไง หรือแม้แต่มูลค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเอง ก็มีผลหมดครับ

หุ้น JPM ถือเป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ (Large Cap) ที่อยู่ในดัชนีหลักๆ หลายตัว เช่น S&P 500 หรือ Dow Jones Industrial Average การที่เขาเป็นสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ที่มีรายได้หลากหลาย ทำให้ความเสี่ยงอาจจะกระจายตัวได้ดีกว่าธนาคารเล็กๆ นะครับ และที่น่าสนใจอีกอย่างคือ เขาก็มีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอด้วย

ทีนี้ ถ้ามองภาพรวมทั้งหมด โครงการ Entertainment Complex ในไทยก็ถือเป็นเมกะโปรเจกต์ที่น่าจับตามากๆ มีโอกาสที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล ทั้งในแง่ GDP, รายได้ภาครัฐ, การจ้างงาน และการท่องเที่ยว ซึ่งมุมมองและการวิเคราะห์จากสถาบันการเงินระดับโลกอย่าง เจพีมอร์แกน ก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า โอกาสนี้เป็นเรื่องจริงจัง และมีศักยภาพสูงจริงๆ ครับ

สำหรับใครที่สนใจเรื่องเศรษฐกิจ การลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในประเทศผ่านโครงการใหญ่ๆ หรือการลงทุนในต่างประเทศผ่านหุ้นของสถาบันการเงินระดับโลกอย่าง jp morgan หุ้น เนี่ย การติดตามข่าวสารและบทวิเคราะห์จากแหล่งที่น่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ครับ เพราะจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมและตัดสินใจได้ดีขึ้น

⚠️ คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ ไม่ว่าจะเป็นโครงการใหญ่ของรัฐ หรือหุ้นของบริษัทระดับโลกอย่าง jp morgan หุ้น ทุกอย่างล้วนมีความไม่แน่นอนของมันเองครับ และหากสภาพคล่องทางการเงินไม่สูง ควรประเมินความพร้อมของตัวเองให้ดีก่อนนะครับ