เคยรู้สึกไหมครับว่าเช้าวันหนึ่งตลาดหุ้นเอเชียก็คึกคัก อีกวันก็เงียบเหงา… เหมือนอารมณ์แปรปรวนของเพื่อนสนิท? ในโลกการเงิน อะไรๆ ก็ดูซับซ้อนไปหมด โดยเฉพาะเมื่อพูดถึง “หุ้นเอเชีย” ที่เชื่อมโยงกับปัจจัยจากทั่วทุกมุมโลก วันนี้เรามาแกะรอยกันว่าอะไรอยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวล่าสุดที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดหุ้นแถบบ้านเรานี้ พร้อมกับดูว่าข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญๆ ทั่วโลกกำลังบอกอะไรเราบ้าง
ล่าสุด “หุ้นเอเชีย” หลายตลาดก็ออกอาการไม่เหมือนกันเลยครับ บางที่ขึ้น บางที่ลง สลับกันไป เหมือนกำลังหาทิศทางที่แน่นอนไม่เจอ อย่างดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นก็ปรับตัวขึ้นมาได้นิดหน่อย ส่วนตลาดหุ้นฮ่องกงอย่าง Hang Seng ก็ติดลบไปบ้างเล็กน้อย ขณะที่ตลาดหุ้นออสเตรเลียและอินโดนีเซียก็เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ แต่ตลาดหุ้นอินเดียกลับพุ่งขึ้นอย่างโดดเด่นเลยครับ ทำไมถึงเป็นแบบนี้? สาเหตุหลักๆ ที่เห็นชัดๆ เลยก็คือผลกระทบจากข่าวคราวในเวทีโลกนี่แหละครับ โดยเฉพาะเรื่องของการเจรจาการค้าระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ กับจีน ถ้ามีข่าวดีมีความคืบหน้าเชิงบวก “หุ้นเอเชีย” ก็มักจะสดใสตามทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปรับตัวขึ้น แต่ถ้ามีเรื่องให้กังวลใจล่ะ? ตลาดหุ้นแถบบ้านเราก็พร้อมจะออกอาการซึมทันที

เรื่องน่ากังวลล่าสุดที่ทำให้ “หุ้นเอเชีย” ต้องชะงักมาจากฝั่งสหรัฐฯ ครับ โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงาน คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมตัวเลขคนทำงานที่อเมริกาถึงมาเกี่ยวอะไรกับตลาดหุ้นบ้านเราในเอเชีย? นั่นเพราะเศรษฐกิจอเมริกาเป็นเครื่องยนต์สำคัญของโลกไงครับ ถ้าสุขภาพเศรษฐกิจเขาดี กำลังซื้อดี บริษัทต่างๆ ก็ขายของได้เยอะ ซึ่งหลายบริษัทในเอเชียก็ส่งออกสินค้าไปขายที่นั่นเหมือนกัน ล่าสุดข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ ที่เก็บโดยบริษัท ADP ออกมาน่าตกใจครับ เพราะเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นเพียง 37,000 ตำแหน่ง ซึ่งน้อยที่สุดในรอบกว่า 2 ปีเลยนะ! พอเห็นตัวเลขนี้ นักลงทุนก็เริ่มมองไปที่ตัวเลขใหญ่กว่าอย่าง Nonfarm Payrolls (NFP) หรือการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่จะประกาศในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งก็มีการคาดการณ์กันว่าจะเพิ่มขึ้นไม่มากเท่าไหร่ แค่ราวๆ 125,000 ถึง 130,000 ตำแหน่งเท่านั้น นี่สะท้อนว่าตลาดแรงงานอเมริกาอาจกำลังชะลอตัวลง ซึ่งถ้าเป็นจริงก็ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจโดยรวมอาจไม่แข็งแกร่งอย่างที่คิด นี่ยังไม่รวมถึงข้อมูลในอดีตบางชิ้นที่เคยอ้างถึงการหดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 ด้วยนะ (อ้างอิงตามข้อมูลดิบ) ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นแรงกดดันสำคัญต่อภาพรวมการลงทุน รวมถึง “หุ้นเอเชีย” ด้วยครับ
อีกเรื่องที่สร้างความปั่นป่วนให้ “หุ้นเอเชีย” อยู่เรื่อยๆ ก็คือนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ครับ โดยเฉพาะเรื่องภาษีศุลกากรที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เหมือนกำลังเล่นหมากรุกที่ฝ่ายตรงข้ามคาดเดาตาเดินได้ยาก ความไม่แน่นอนตรงนี้แหละ ที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึง “หุ้นเอเชีย” ต้องลุ้นกันตัวโก่งว่าจะมีมาตรการอะไรออกมาอีก อย่างไรก็ตาม ล่าสุดก็มีข่าวดีให้ได้หายใจหายคอไปบ้าง เมื่อศาลสหรัฐฯ มีคำสั่งให้ระงับการใช้มาตรการภาษีศุลกากรบางอย่างของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นการชั่วคราว และตัวประธานาธิบดีเองก็ประกาศเลื่อนการเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงจากสหภาพยุโรปออกไปก่อน ซึ่งนี่ก็เป็นปัจจัยบวกเล็กๆ ที่ช่วยลดแรงกดดันในตลาดได้ แต่ใช่ว่าความกังวลจะหายไปซะทีเดียว เพราะเส้นตายการเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้าสำคัญๆ ก่อนเดือนกรกฎาคมก็ยังเป็นดาบที่แขวนอยู่เหนือตลาดครับ

หันมาดูในเอเชียเองบ้างครับ ที่ญี่ปุ่น มีข้อมูลน่าสนใจเรื่องค่าจ้างออกมา… ลองนึกภาพว่าเงินเดือนคุณขึ้นนิดหน่อย แต่ข้าวของทุกอย่างแพงขึ้นกว่าเงินเดือนที่ขึ้นเยอะๆ แบบนั้นแหละครับคือสถานการณ์ที่ค่าจ้างที่แท้จริงของญี่ปุ่นลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 แล้ว ทั้งๆ ที่ค่าจ้างเป็นตัวเงิน (รายได้รวม) ยังคงเพิ่มขึ้นอยู่ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 40 แล้วนะ! สาเหตุหลักมาจากอัตราเงินเฟ้อ (ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ CPI) เดือนเมษายนที่ยังสูงถึง 4.1% ซึ่งสูงกว่าค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น แบบนี้คนญี่ปุ่นก็รู้สึกเหมือนเงินเดือนน้อยลง ทำให้การใช้จ่ายอาจไม่คึกคักเท่าที่ควร ซึ่งก็กระทบกับบริษัทต่างๆ และส่งผลต่อ “หุ้นเอเชีย” ในตลาดญี่ปุ่นอย่าง Nikkei ได้เหมือนกัน เพราะกำลังซื้อในประเทศอ่อนแอลง ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง ที่อินเดีย ตอนนี้ธนาคารกลางเขากำลังประชุมนโยบายการเงินกันอยู่ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าอาจจะมีการ “ลดดอกเบี้ย” นโยบายลงสู่ระดับ 5.75% ถ้าเป็นจริง ก็น่าจะเป็นข่าวดีเล็กๆ ที่ช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนในตลาด “หุ้นเอเชีย” ของอินเดียได้ครับ
นอกจากปัจจัยใหญ่ๆ ทั้งหมดนี้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ต้องจับตา เช่น ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ก็สร้างความไม่แน่นอนให้ตลาดได้อยู่เรื่อยๆ ส่วนตลาดพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นก็ดูเหมือนจะได้รับการตอบรับที่ดีขึ้นเล็กน้อย อาจเป็นเพราะผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับลดลง ทำให้นักลงทุนหันมาสนใจพันธบัตรญี่ปุ่นมากขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันดิบทั้ง WTI และ Brent ก็ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ไม่ได้มีปัจจัยใหม่ที่ทำให้ราคาผันผวนรุนแรง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้แม้จะไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนหลักของ “หุ้นเอเชีย” โดยตรง แต่ก็ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวมและมุมมองของนักลงทุนทั่วโลกครับ
สำหรับนักลงทุนในไทยที่สนใจ หรือกำลังมองหาโอกาสในตลาดการเงินเอเชีย หรือแม้แต่จะจัดการพอร์ตลงทุนของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น “หุ้นเอเชีย” โดยตรง หรือผ่านเครื่องมือการลงทุนอื่นๆ เดี๋ยวนี้ก็มีเครื่องมือที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะครับ อย่างแอปพลิเคชัน K PLUS หรือ K-My Funds ของ KAsset นี่ก็สะดวกมากในการทำรายการซื้อ-ขายกองทุนรวม หรือจะดูข้อมูลการลงทุนต่างๆ K-My Funds นี่เด่นเรื่องกองทุนรวมโดยเฉพาะเลยนะ มีฟังก์ชันช่วยดูข้อมูลเชิงลึกของกองทุน, แนะนำพอร์ตการลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้, มีการแจ้งเตือนต่างๆ, ช่วยให้เราปรับพอร์ตได้สะดวก หรือแม้กระทั่งช่วยคำนวณภาษีกองทุน และแสดงยอดลงทุนในกองทุน RMF/SSF/LTF ของเราได้ด้วย ส่วน K PLUS ที่เราใช้กันอยู่แล้ว ก็มีการรวมข้อมูลการลงทุนของเราทั้งหมดไว้ในที่เดียว ทั้งเงินฝาก กองทุน หรือหุ้น (ถ้ามี) และยังมีบริการ Wealth Plus ที่ช่วยวางแผนและดูแลแผนการลงทุนของเราให้เป็นไปตามเป้าหมายอีกด้วยครับ เครื่องมือพวกนี้ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงข้อมูลและจัดการการลงทุนได้ง่ายขึ้นเยอะในยุคดิจิทัลแบบนี้

สรุปแล้ว ตลาด “หุ้นเอเชีย” ในช่วงนี้ก็ยังต้องเผชิญกับแรงเหวี่ยงจากหลายทิศทาง ทั้งข่าวดีข่าวร้ายจากมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน บวกกับปัจจัยภายในภูมิภาคเอง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน และความกังวลอื่นๆ สำหรับนักลงทุน ไม่ว่าจะมือใหม่ที่เพิ่งเริ่ม หรือมือเก๋าที่อยู่ในตลาดมานาน การติดตามข่าวสารให้รอบด้าน ทำความเข้าใจว่าแต่ละปัจจัยส่งผลต่อ “หุ้นเอเชีย” และการลงทุนของเราอย่างไร เป็นสิ่งสำคัญมากครับ การใช้เครื่องมือดิจิทัลต่างๆ ที่มีให้บริการ ก็ช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลและจัดการการลงทุนได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น แต่อย่าลืมนะครับว่าการลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยงเสมอ
⚠️ ก่อนตัดสินใจลงทุนใน “หุ้นเอเชีย” หรือสินทรัพย์ใดๆ ก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์นั้นๆ ให้ละเอียด ทำความเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และประเมินความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตัวเองก่อนเสมอ เพื่อให้การลงทุนเป็นไปอย่างมีสติและเหมาะสมกับตัวเราเองมากที่สุดครับ