หุ้นปันผล คืออะไร? สร้างกระแสเงินสดให้คุณได้อย่างไร?

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางคนถึงดูเหมือน “อยู่เฉยๆ” แต่ก็ยังมีเงินไหลเข้าบัญชีเป็นระยะๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำงานประจำเพิ่มเลย? นี่แหละครับเสน่ห์อย่างหนึ่งของการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในสิ่งที่เรียกว่า หุ้นปันผล

เอาแบบบ้านๆ เลยนะครับ หุ้นปันผล คือ อะไร? ลองนึกภาพว่าเราเป็นเจ้าของร้านค้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง พอร้านมีกำไร เราในฐานะเจ้าของ ก็มีสิทธิ์ได้ส่วนแบ่งกำไรนั้นใช่ไหมครับ การลงทุนในหุ้นปันผลก็คล้ายกัน เราไปซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีผลประกอบการดี มีกำไร และบริษัทเลือกที่จะแบ่งกำไรส่วนหนึ่งคืนกลับมาให้ผู้ถือหุ้นอย่างเราๆ ในรูปของ “เงินปันผล” นั่นเอง

ไอเดียหลักๆ ของการลงทุนแบบนี้ก็คือ เราคาดหวังที่จะได้ “กระแสเงินสด” หรือ “รายได้ประจำ” จากเงินปันผลที่บริษัทจ่ายออกมานี่แหละครับ ต่างจากการลงทุนที่เน้นหวังส่วนต่างราคาหุ้น (Capital Gain) อย่างเดียว ซึ่งต้องคอยจับจังหวะซื้อขายเพื่อทำกำไรจากราคาที่สูงขึ้น

แล้วใครล่ะที่เหมาะกับการลงทุนใน หุ้นปันผล? ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ชอบความผันผวนของตลาดมากนัก ไม่ได้อยากจะนั่งเฝ้าจอดูราคาหุ้นขึ้นลงตลอดเวลา หรือเป็นคนที่กำลังมองหาแหล่งรายได้เสริมเข้ามาเป็นระยะๆ หรือแม้กระทั่งเป็นกลุ่มคนที่เกษียณอายุแล้ว ต้องการรายได้ประจำเพื่อใช้จ่าย การลงทุนในหุ้นปันผลก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียวครับ เพราะเน้นความมั่นคงและกระแสเงินสดที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ

แน่นอนว่าการลงทุนในหุ้นปันผลก็มีทั้งข้อดีและข้อที่ต้องพิจารณา

**ข้อดี** ที่เห็นชัดๆ เลยคือ:
* มีรายได้สม่ำเสมอ: ได้รับเงินปันผลเป็นระยะๆ เหมือนมีเงินเดือนพิเศษ
* ลดความเสี่ยง: เมื่อมีเงินปันผลกลับมาบ้าง ก็ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของการลงทุนได้ระดับหนึ่ง
* พลังทบต้น: ถ้าเอาเงินปันผลไปลงทุนซ้ำในหุ้นตัวเดิม หรือหุ้นตัวอื่นที่มีปันผล ก็จะเหมือนดอกเบี้ยทบต้น ทำให้เงินลงทุนงอกเงยเร็วขึ้น
* บ่งบอกความมั่นคง: บริษัทที่จ่ายปันผลได้ต่อเนื่องมักจะเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการดี มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง
* เหมาะกับระยะยาว: ยิ่งถือนาน ยิ่งมีโอกาสได้รับเงินปันผลต่อเนื่อง ช่วยสร้างผลตอบแทนรวมที่น่าพอใจ
* ป้องกันเงินเฟ้อ: ในระยะยาว ผลตอบแทนรวมจากหุ้น (ทั้งปันผลและส่วนต่างราคา) มักจะชนะอัตราเงินเฟ้อได้

**ส่วนข้อที่ต้องระวัง** ก็มีเหมือนกันครับ:
* โอกาสเติบโตอาจจำกัด: บริษัทที่จ่ายปันผลเยอะๆ บางทีอาจจะไม่ได้นำกำไรไปลงทุนขยายกิจการมากเท่าบริษัทที่เน้นเติบโต ทำให้มูลค่าหุ้นเติบโตช้ากว่า
* ไม่ใช่ทุกบริษัทที่จ่ายดีตลอด: ผลประกอบการบริษัทอาจไม่สม่ำเสมอ ทำให้นโยบายปันผลเปลี่ยนแปลงได้
* สภาพคล่องอาจต่ำ: หุ้นบางตัวที่ปันผลดี อาจมีปริมาณการซื้อขายไม่มาก ทำให้ขายออกได้ยากหากต้องการใช้เงินด่วน
* ราคาหุ้นอาจลดลงหลังขึ้นเครื่องหมาย XD: อันนี้สำคัญมากสำหรับนักลงทุนมือใหม่!

ไหนๆ ก็พูดถึงเครื่องหมาย XD แล้ว อธิบายเพิ่มเติมนิดนึงครับ XD ย่อมาจาก Exclude Dividend เป็นเครื่องหมายที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นเตือนว่า ถ้าคุณซื้อหุ้นตัวนี้ในวันขึ้นเครื่องหมาย XD หรือหลังจากนั้น คุณจะ *ไม่มีสิทธิ์* ได้รับเงินปันผลสำหรับงวดที่ประกาศไปก่อนหน้านี้แล้วครับ ง่ายๆ คือ ถ้าอยากได้ปันผล ต้องซื้อหุ้นและถือไว้ก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD นั่นเองครับ

และที่หลายคนอาจจะสับสนคือ “เงินปันผล” กับ “หุ้นปันผล” ต่างกันอย่างไร?
* เงินปันผล (Cash Dividend): คือการที่บริษัทจ่ายเงินสดจากกำไรมาให้ผู้ถือหุ้นโดยตรง เหมือนได้เช็คเงินสดมาเข้าบัญชีเราเลยครับ
* หุ้นปันผล (Stock Dividend): คือการที่บริษัทออกหุ้นสามัญใหม่มาแทนการจ่ายเงินสด เหมือนได้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นแทน แต่ระวังนะครับ การได้หุ้นปันผลเพิ่มขึ้น ก็เหมือนกับการ “แบ่งเค้กชิ้นเดิมออกเป็นชิ้นเล็กๆ เพิ่ม” ทำให้มูลค่าต่อหุ้นอาจลดลง หรือที่เรียกว่า เกิดภาวะ “Dilution” นั่นเองครับ

แล้วถ้าเทียบกับ “หุ้นไม่ปันผล” ล่ะ? หุ้นไม่ปันผลส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่อยู่ในช่วงเติบโต ต้องการนำกำไรทั้งหมดกลับไปลงทุนขยายธุรกิจ ซื้อเครื่องจักรใหม่ วิจัยพัฒนาสินค้า ทำให้ไม่จ่ายเงินปันผล หรือจ่ายน้อยมากๆ หุ้นกลุ่มนี้ ถ้าบริษัทเติบโตตามแผน ราคาหุ้นก็มีโอกาสพุ่งขึ้นแรงๆ ได้ ทำให้ได้ผลตอบแทนสูงจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) แต่ก็จะไม่มีรายได้ประจำเหมือนหุ้นปันผลครับ การเลือกก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความชอบของเราเลย

กลยุทธ์การลงทุนใน หุ้นปันผล ง่ายๆ คือ “ลงทุนระยะยาว ให้เงินทำงานแทน” ครับ เป้าหมายไม่ใช่แค่เงินปันผลที่ได้ แต่รวมถึงผลตอบแทนทั้งหมด ทั้งเงินปันผลที่ได้ และส่วนต่างราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น (ถ้ามี) ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว ผลตอบแทนรวมจากการลงทุนในหุ้นระยะยาวมักจะชนะเงินเฟ้อได้ครับ ผู้เชี่ยวชาญบางท่านก็แนะนำให้แบ่งพอร์ตลงทุนไว้ทั้งหุ้นปันผลและหุ้นที่เน้นเติบโต เพื่อให้พอร์ตมีความสมดุล

แต่การจะเลือกหุ้นปันผลที่ดี ไม่ใช่แค่ดูว่าบริษัทไหนจ่ายปันผลสูงๆ ในอดีตนะครับ เราต้องดู “พื้นฐาน” ของบริษัทด้วย ลองนึกภาพว่า บริษัทที่จ่ายปันผลสูง แต่กำไรลดลงเรื่อยๆ หนี้สินเยอะขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ไม่น่าจะจ่ายปันผลสูงๆ ได้ตลอดใช่ไหมครับ?

เครื่องมือสำคัญในการพิจารณา หุ้นปันผล คือ “อัตราส่วนทางการเงิน” ครับ ที่นิยมใช้กันมี 2 ตัวหลักๆ คือ
1. Dividend Yield (อัตราผลตอบแทนเงินปันผล): ตัวนี้บอกว่า เงินปันผลที่ได้ คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของราคาหุ้น เช่น ถ้าหุ้นราคา 10 บาท จ่ายปันผลปีละ 0.5 บาท Dividend Yield ก็คือ (0.5 / 10) x 100 = 5% ครับ Yield สูงๆ ก็ดูน่าสนใจ แต่ต้องดูพื้นฐานด้วย
2. Dividend Payout Ratio (อัตราส่วนเงินปันผลต่อกำไร): ตัวนี้บอกว่า บริษัทนำกำไรสุทธิที่ทำได้ มาจ่ายเป็นเงินปันผลไปกี่เปอร์เซ็นต์ คำนวณง่ายๆ คือ (เงินปันผลต่อหุ้น ÷ กำไรสุทธิต่อหุ้น) x 100 ตัวนี้บอก “ความตั้งใจ” ของบริษัทในการแบ่งปันกำไร ยิ่งสูงยิ่งแสดงว่าตั้งใจจ่าย แต่ถ้าสูงเกินไป เช่น เกิน 80-100% อาจต้องระวัง เพราะแสดงว่าบริษัทแทบไม่เก็บกำไรไว้เลย ถ้าปีไหนกำไรตกนิดหน่อย อาจไม่มีเงินพอจ่ายปันผลได้ตามเดิม

นอกจากสองตัวนี้แล้ว ยังมีปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา เช่น
* กำไรสุทธิ (Net Profit): ต้องมีกำไรต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่ดี
* กำไรสะสม (Accumulated Profit): นี่คือแหล่งเงินทุนสำคัญที่บริษัทนำมาจ่ายปันผล ถ้ากำไรสะสมเยอะ ก็มีโอกาสจ่ายได้ต่อเนื่อง
* กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operations): ตัวนี้สำคัญมากครับ ต่อให้มีกำไรทางบัญชี แต่ถ้าไม่มีเงินสดจริงๆ ก็เอาไปจ่ายปันผลไม่ได้
* อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt-to-Equity Ratio): ถ้าหนี้เยอะ ความเสี่ยงสูง อาจกระทบความสามารถในการจ่ายปันผลในอนาคต

สรุปง่ายๆ คือ การดูแค่อัตราปันผลในอดีตไม่พอครับ ต้องเจาะลึกดูสุขภาพการเงินและผลประกอบการของบริษัทอย่างรอบด้าน

สำหรับนักลงทุนไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ก็มีเครื่องมือและดัชนีดีๆ ช่วยให้เราคัดกรองหุ้นปันผลได้ง่ายขึ้นนะครับ เช่น
* ดัชนี SETHD (SET High Dividend): เป็นดัชนีที่รวบรวมหุ้น 30 ตัวใน SET100 ที่มีสภาพคล่องสูง และมีประวัติการจ่ายปันผลต่อเนื่อง โดยมี Dividend Yield สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ SET Index ดัชนีนี้เป็นเหมือนการคัดกรองเบื้องต้นที่ดีครับ ข้อมูลจาก ตลท. ณ เดือนมิถุนายน 2566 แสดงให้เห็นว่า SETHD Index มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยสูงถึง 4.85% เทียบกับดัชนี SET ที่ 3.12% เลยทีเดียว
* Dividend Universe: ตลท. มีการจัดกลุ่มหุ้นปันผลตามเกณฑ์ต่างๆ ทั้งผลประกอบการและธรรมาภิบาล สามารถเข้าไปดูเป็นแนวทางได้
* SETSMART และแอปพลิเคชัน Streaming: โปรแกรมพวกนี้ก็มีฟังก์ชันให้เราคัดกรองหุ้นตาม Dividend Yield หรือปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ได้สะดวกมากๆ ครับ

ส่วนเรื่องภาษีเงินปันผลในประเทศไทย สำหรับบุคคลธรรมดาที่ได้รับเงินปันผลจากบริษัทจดทะเบียน ส่วนใหญ่จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ครับ ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะนำเงินปันผลที่ได้รับไปรวมคำนวณภาษีปลายปีหรือไม่ ถ้าฐานภาษีเราต่ำ การนำไปรวมอาจทำให้ได้เงินภาษีคืนบางส่วน แต่ถ้าฐานภาษีสูง การเลือกเสียภาษี 10% ณ ที่จ่ายไปเลยอาจจะคุ้มกว่าครับ

โดยสรุปแล้ว การลงทุนใน หุ้นปันผล เป็นแนวทางการลงทุนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการสร้างกระแสเงินสด และเน้นการลงทุนระยะยาวในบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ไม่ใช่แค่การไล่ล่าหุ้นที่มี Yield สูงสุดเท่านั้น

⚠️ **ข้อควรระวังและคำแนะนำปิดท้าย:** การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน หุ้นปันผลก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ทั้งจากผลประกอบการบริษัทที่อาจไม่เป็นไปตามคาด การเปลี่ยนแปลงนโยบายปันผล หรือราคาหุ้นที่อาจผันผวนตามภาวะตลาด อย่าดูแค่ตัวเลข Dividend Yield ในอดีตเพียงอย่างเดียว แต่ต้องวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ควบคู่ไปด้วยเสมอครับ หากคุณมีเงินทุนที่ไม่ได้ต้องการใช้ในระยะสั้น และมองหาช่องทางสร้างรายได้ประจำในระยะยาว การศึกษาและทำความเข้าใจหุ้นปันผลอย่างลึกซึ้ง จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับพอร์ตการลงทุนของคุณได้ครับ