ช่วงนี้ถ้าคุยกับเพื่อนๆ ในวงการลงทุน หรือแม้แต่คนที่ไม่เคยลงทุนมาก่อน แต่สนใจเรื่องเศรษฐกิจไทย เชื่อเลยว่าหัวข้อหนึ่งที่ต้องมีพูดถึงแน่ๆ คือ หุ้นธนาคารครับ
หลายคนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ ทำไมอยู่ดีๆ หุ้นธนาคาร ถึงกลับมาอยู่ในสายตา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวเรื่องหนี้เสียเยอะแยะไปหมด หรือบางช่วงราคาหุ้นก็ดูนิ่งๆ ไม่หวือหวาเหมือนหุ้นเทคโนโลยี หรือหุ้นที่กำลังเป็นกระแส วันนี้ในฐานะคนเล่าเรื่องการเงินให้เข้าใจง่าย ผมจะพาไปแกะดูพร้อมๆ กันครับ ว่าภายใต้หน้าตาที่ดูมั่นคงของกลุ่ม หุ้นธนาคารพาณิชย์ ไทย มีอะไรซ่อนอยู่บ้าง ทั้งความน่าสนใจ โอกาส และความท้าทายที่ต้องรู้ก่อนจะตัดสินใจควักกระเป๋าลงทุน

ถ้าให้สรุปแบบรวบรัดว่าทำไมกลุ่ม หุ้นธนาคาร ถึงยังเป็นที่พูดถึงในแวดวง การลงทุน คำตอบง่ายๆ คือ มันเป็นกลุ่มที่มี “ของ” อยู่ในตัวครับ แม้จะไม่ใช่หุ้นที่วิ่งเร็วปรี๊ดปร๊าด แต่พวกเขาก็เป็นเหมือน “กระดูกสันหลัง” ของ เศรษฐกิจไทย เลยก็ว่าได้ การที่ ธนาคารพาณิชย์ มีบทบาทสำคัญในการปล่อย สินเชื่อ ให้ภาคธุรกิจต่างๆ ทั้งใหญ่ กลาง เล็ก หรือแม้แต่รายย่อย ทำให้พวกเขามีรายได้ที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ แถมส่วนใหญ่ยังขึ้นชื่อเรื่อง ปันผล ดี จ่ายสม่ำเสมอถูกใจนักลงทุนที่ชอบถือยาวๆ เพื่อรับรายได้ประจำ หรือที่ภาษาหุ้นเขาเรียกกันว่า **Dividend Yield** (อัตราส่วนเงินปันผล) เนี่ยแหละครับ ที่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของกลุ่มนี้
ทีนี้ หลายคนอาจจะมีคำถามในใจว่า ก็เห็นข่าว หนี้เสีย (`NPLs`) เพิ่มขึ้นอยู่ตลอด แล้วทำไมยังบอกว่า หุ้นธนาคาร น่าสนใจล่ะ? คำถามนี้ดีมากครับ มันสะท้อนให้เห็นภาพรวมที่ซับซ้อนขึ้นมาหน่อย ใช่ครับ หนี้เสีย ยังคงเป็นความท้าทายหลักของกลุ่มนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้ารายย่อยและ SME ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แถมมาตรการช่วยเหลือจาก ธปท. (`ธนาคารแห่งประเทศไทย`) บางส่วนก็ทยอยหมดอายุลง ทำให้เห็นตัวเลข หนี้เสีย เพิ่มขึ้นชัดเจนขึ้น และล่าสุดก็ยังมีข่าวความเสี่ยงจากบริษัทขนาดใหญ่บางราย อย่างกรณีบริษัท อิตาเลียนไทย หรือผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางเจ้าที่เจอปัญหา ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องพวกนี้กระทบต่อความแข็งแกร่งของ ธนาคาร โดยตรง เพราะ ธนาคาร ต้องตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญ หรือที่เรียกว่า การตั้งสำรอง ซึ่งไอ้เจ้า การตั้งสำรอง นี่แหละ ตัวการสำคัญที่มักจะไปกดดัน กำไร ของ ธนาคาร ครับ

แต่ในอีกมุมหนึ่ง ต้องมองว่า เศรษฐกิจไทย เองก็กำลังอยู่ในช่วงที่พยายามฟื้นตัว ซึ่งตรงนี้แหละที่ ธนาคาร จะกลับมามีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งเงินทุน (สินเชื่อ) ให้ภาคธุรกิจต่างๆ ขับเคลื่อนไปได้ และเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ทำให้ หนี้เสีย อาจมีแนวโน้มชะลอตัวลงได้ในอนาคตครับ นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ ไทยส่วนใหญ่มีโครงสร้างการบริหารจัดการที่ดี มีการตรวจสอบและบริหารความเสี่ยงที่ค่อนข้างเข้มงวดตามเกณฑ์ของ ธปท. ทำให้โดยรวมแล้วยังมีความมั่นคงในระดับหนึ่ง
ลองย้อนดู ผลประกอบการ ในช่วงที่ผ่านมา อย่างไตรมาส 1 ปี 2567 (2024) และ ไตรมาส 1 ปี 2568 (2025) ที่เพิ่งประกาศออกมา ข้อมูลจากบทวิเคราะห์หลายแห่งบอกว่า กำไร โดยรวมของกลุ่ม ธนาคารใหญ่ และ ธนาคารกลาง ก็ยังถือว่าฟื้นตัวหรือทรงตัวได้ดีนะครับ อย่าง 7 ธนาคารใหญ่ และกลางในไตรมาส 1 ปี 2568 (2025) ก็มี กำไร รวมกันถึง 6.1 หมื่นล้านบาท ถือว่าฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้าพอสมควร ปัจจัยส่วนหนึ่งก็มาจากการที่บางช่วง ธนาคาร ตั้งสำรองลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ แต่ก็มีบางแห่งที่ยังต้องตั้งสำรองสูงอยู่เหมือนกัน อย่าง BAY ครับ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเลยว่าแนวโน้ม หนี้เสีย จะยังกดดันให้ ธนาคาร ต้องตั้งสำรองสูงไปอีกนานแค่ไหน
นอกจากเรื่อง หนี้เสีย แล้ว อีกปัจจัยที่ต้องจับตาคือเรื่องของ ดอกเบี้ย ครับ โดยเฉพาะทิศทางของ ดอกเบี้ยนโยบาย ที่กำหนดโดย กนง. (`คณะกรรมการนโยบายการเงิน`) หาก กนง. ตัดสินใจลด ดอกเบี้ย ลงในปี 2568 (2025) ตามที่หลายคนคาดการณ์ไว้ มันจะส่งผลกดดันต่อ `NIM` (ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย) ของ ธนาคาร ครับ อธิบายง่ายๆ คือ ธนาคาร มีรายได้หลักจากส่วนต่างระหว่าง ดอกเบี้ย ที่ปล่อยกู้ กับ ดอกเบี้ย ที่จ่ายให้เงินฝาก การที่ ดอกเบี้ย ขาลง หรือต้นทุนเงินฝากสูงขึ้น (เพราะเงินฝากเก่า ดอกเบี้ย ต่ำๆ ทยอยครบอายุ แล้วลูกค้าไปฝากใหม่ในบัญชีที่ให้ ดอกเบี้ย สูงขึ้น) ก็จะบีบให้ `NIM` แคบลง ซึ่งหมายถึงรายได้จากส่วนนี้จะลดลงครับ

และอีกเรื่องที่หลายคนอาจไม่ทันสังเกตคือ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ครับ โดยเฉพาะการลงทุนด้าน IT และ Digital Banking ที่สูงมาก และเป็นค่าใช้จ่ายที่ลดได้ยากมาก เมื่อไหร่ที่รายได้ของ ธนาคาร เริ่มชะลอตัว ค่าใช้จ่ายก้อนนี้ก็จะกลายเป็นตัวกดดัน กำไร ที่เห็นได้ชัดเลย
เมื่อปัจจัยต่างๆ เหล่านี้มารวมกัน มันก็สะท้อนออกมาในการเคลื่อนไหวของ ราคาหุ้น ครับ เราเห็นภาพชัดเจนในช่วงวันที่ 21 เมษายน 2568 (2025) ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มธนาคาร ปรับตัวลงแรง หลังจากที่หลาย ธนาคาร ประกาศ ผลประกอบการ ไตรมาส 1 ปี 2568 (2025) ออกมาแล้วก็มีแรงขายทำกำไรออกมา เพราะหลายตัวก็ขึ้นเครื่องหมาย XD (หมายถึง ผู้ซื้อหุ้นวันนี้จะไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผลที่กำลังจะจ่าย) ไปแล้ว ประกอบกับมีข่าวเรื่องการคาดการณ์ว่า กนง. อาจจะลด ดอกเบี้ย เร็วๆ นี้ และที่สำคัญคือผู้บริหาร ธนาคารใหญ่ บางส่วนได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ของ เศรษฐกิจไทย ในปี 2568 (2025) ลง ซึ่งการที่คาดการณ์ GDP ต่ำลง ก็หมายถึง สินเชื่อ อาจจะเติบโตได้ไม่ตามเป้าไงครับ นี่คือตัวอย่างว่า หุ้นธนาคาร ค่อนข้างอ่อนไหวต่อข่าวสารและปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเงินมากแค่ไหน
ก่อนหน้านี้ หุ้นธนาคาร ก็เคยปรับตัวขึ้นได้ดี สวนทางกับตลาดหุ้นโดยรวมด้วยซ้ำนะครับ จากความแข็งแกร่งของพื้นฐานและการที่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อ แต่พอมีปัจจัยเสี่ยงใหม่ๆ หรือภาพเศรษฐกิจดูไม่สดใสเท่าที่คาด ก็มีการ ปรับพอร์ต ออกไปบ้างเป็นเรื่องปกติครับ
ถ้าถามว่าแล้วแบบนี้จะลงทุนใน หุ้นธนาคาร ได้ยังไงดี? จากมุมมองของนักวิเคราะห์หลายค่าย อย่างเช่น บล.แอลเอช, บล.ทิสโก้, บล.เคจีไอ, บล.เอเซีย พลัส, บล.บัวหลวง, บล.กสิกรไทย, บล.ดาโอ, บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ฯลฯ ต่างก็ให้คำแนะนำที่น่าสนใจครับ อย่างในช่วงที่ ราคาหุ้น ปรับลงแรงๆ บางครั้งก็เป็นโอกาสสำหรับคนที่เชื่อมั่นในพื้นฐานระยะยาวที่จะเข้าไป Buy the Dip (ซื้อเมื่อราคาหุ้นตกลงมา) หรือบางคนก็เลือกที่จะ “เล่นรอบ” คือ ซื้อช่วงที่ราคายังไม่สูงมาก แล้วรอขายเมื่อราคาปรับขึ้น แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำการบ้านอย่างหนักเลยครับ
การบ้านที่ว่ามีอะไรบ้าง?
1. **ตามแนวโน้มเศรษฐกิจ:** ดูภาพใหญ่ของ เศรษฐกิจไทย (GDP, ความต้องการ สินเชื่อ) ว่าเป็นยังไง มีทิศทางดีขึ้น หรือแย่ลง เพราะนี่คือปัจจัยหลักที่กำหนดรายได้ของ ธนาคาร ครับ
2. **เจาะดูรายตัว:** ธนาคาร แต่ละแห่งมีจุดเด่นไม่เหมือนกันนะครับ อย่าง BBL ก็เน้นลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และธุรกิจต่างประเทศ, KBANK เก่งเรื่อง SME และรายย่อย รวมถึง Digital Banking, SCB มีการปรับโครงสร้างเป็น SCBX ที่น่าสนใจเรื่องเทคโนโลยีและสินทรัพย์ดิจิทัล, KTB ก็มีความแข็งแกร่งจากฐานลูกค้าภาครัฐและแอปเป๋าตัง, TTB มาจากการควบรวม เน้นลูกค้ารายย่อยและลูกค้ามั่งคั่ง, BAY ได้เปรียบจากการสนับสนุนของ MUFG และเน้นสินเชื่อรายย่อยใน ASEAN, CREDIT เป็นน้องใหม่เน้นสินเชื่อรถยนต์/มอเตอร์ไซค์, TISCO ก็โดดเด่นเรื่องการจ่าย ปันผล ต่อเนื่องยาวนาน การดู ผลประกอบการ รายตัว (`กำไรสุทธิ`, `สินทรัพย์รวม`, หนี้เสีย/`NPL`) อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญๆ อย่าง `P/E Ratio` (อัตราส่วนราคาต่อกำไร) และ `อัตราส่วนเงินปันผล` (`Dividend Yield`) ของแต่ละ ธนาคาร จะช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้น ว่าตัวไหนน่าสนใจกว่ากันในแต่ละช่วงเวลา
3. **ติดตามข่าวสารกฎระเบียบ:** กฎต่างๆ จาก ธปท. หรือ กระทรวงการคลัง มีผลต่อ ธนาคาร โดยตรงครับ ต้องคอยอัปเดตอยู่เสมอ
โดยสรุปแล้ว หุ้นธนาคาร ยังคงเป็นกลุ่ม หุ้น ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มองหาความมั่นคงและ ปันผล ที่สม่ำเสมอครับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าในระยะสั้นยังมีความท้าทายจากเรื่อง หนี้เสีย ที่เพิ่มขึ้น และแรงกดดันต่อ `NIM` จากแนวโน้ม ดอกเบี้ย ขาลง รวมถึง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ที่สูง
⚠️ **ข้อควรระวัง:** การลงทุนใน หุ้นธนาคาร หรือ หุ้น ใดๆ ก็ตามมีความเสี่ยงเสมอครับ ราคา หุ้น สามารถปรับตัวขึ้นลงได้ตามปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ และ ผลประกอบการ ในอนาคตอาจไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ หากคุณเป็นนักลงทุนที่เน้นสภาพคล่องของเงินทุน หรือยังไม่พร้อมรับความผันผวนสูง การศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดครับ บางทีการประเมินความเสี่ยงของตัวเองให้ชัดเจนก่อน ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ การลงทุน ที่ดีที่สุดแล้วครับ
จำไว้ว่า ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวในการ การลงทุน ครับ การทำความเข้าใจในสิ่งที่เราจะลงทุน คือก้าวแรกสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนครับ