ตลาดหุ้นจีน: ฟื้นจริงหรือแค่ฝัน? จับตาโอกาสและความเสี่ยง

ช่วงนี้เพื่อนๆ ที่ติดตามข่าวสารหรืออยู่ในวงการลงทุน คงจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ตลาดหุ้น จีน ใช่ไหมครับ? หลังจากที่ซบเซามาพักใหญ่ อยู่ๆ ชื่อนี้ก็กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง มีทั้งข่าวดี ตัวเลขดีๆ นโยบายกระตุ้น และมุมมองจากกูรูที่เริ่มกลับมามองบวก แต่มันคือสัญญาณของการฟื้นตัวจริง หรือแค่ดีดขึ้นชั่วคราว? วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์สายเล่า จะขอพาไปแกะรอยเรื่องนี้แบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์เรากันครับ

ลองนึกภาพตามดูนะครับ สมมติว่าเรามีเพื่อนคนหนึ่งที่เคยเก่งมากๆ ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ แต่ช่วงหลังๆ เหมือนชีวิตติดขัด ทำอะไรก็ไม่ค่อยขึ้น อยู่ดีๆ วันหนึ่งเพื่อนคนนี้ก็กลับมาฮึกเหิม มีพลัง แถมยังบอกว่ามีแผนเด็ดๆ เพียบ นี่แหละครับ อารมณ์ของ ตลาดหุ้น จีน ในช่วงที่ผ่านมา

จากข้อมูลที่เราได้รับมา บอกเลยว่ามีหลายสัญญาณที่น่าจับตา อย่างล่าสุดวันที่ 4 มิถุนายน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต (Shanghai Composite) ของ ตลาดหุ้น จีน แผ่นดินใหญ่ก็ปิดบวกไปได้ 0.42% โดยมีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นตัวชูโรง ซึ่งก็น่าจะไม่แปลกใจนัก เพราะหุ้นเทคทั่วโลกช่วงนี้กำลังมาแรง แต่อีกปัจจัยที่น่าสนใจคือความคาดหวังเรื่องการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ นี่แหละครับ ที่ทำให้บรรยากาศดูดีขึ้น

ย้อนกลับไปอีกนิด ช่วงกลางเดือนพฤษภาคมปี 2568 (ตามข้อมูลที่เรามี) ดัชนี HSCEI ที่รวมหุ้นจีนชั้นนำจดทะเบียนในฮ่องกง ก็พุ่งแรงกว่า 2% เลยทีเดียว ตัวขับเคลื่อนหลักก็ยังเป็นหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้งหลาย เช่น BYD (+4.57%), Baidu (+4.01%), Xiaomi (+3.60%), Alibaba (+3.41%), JD.com (+3.36%) และ Tencent Holdings (+2.96%) การที่หุ้นเหล่านี้พร้อมใจกันขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ออกมาดีกว่าที่คาดไว้ อย่าง JD.com รายได้โต 16% กำไรสุทธิพุ่ง 43% ส่วน Tencent ก็รายได้โต 13% กำไรสุทธิเพิ่ม 14% ตัวเลขพวกนี้มันสะท้อนว่าบริษัทจีนใหญ่ๆ ยังมีศักยภาพในการทำกำไรอยู่นะครับ

ไม่แค่ผลประกอบการดี แต่ยังมีข่าวดีจากฝั่งนโยบายด้วยครับ ข้อมูลเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2568 (ตามที่ระบุ) สหรัฐฯ กับจีนบรรลุข้อตกลงลดภาษีสินค้าระหว่างกันชั่วคราว 90 วัน หลังเจรจากันที่สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐฯ ลดภาษีบางรายการลง ส่วนจีนก็ลดภาษีของสหรัฐฯ ลงเหมือนกัน ข่าวนี้เหมือนเป็นการลดความตึงเครียดลงชั่วคราว ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดทุนทั่วโลกกังวลมาตลอด พอบรรยากาศดีขึ้น เงินลงทุนก็มีแนวโน้มจะกลับเข้ามาใน ตลาดหุ้น จีน มากขึ้น

ถ้ามองภาพใหญ่ขึ้นไปอีก ข้อมูลยังบอกว่าช่วงต้นปี 2568 ตลาดหุ้น จีน ปรับตัวขึ้นโดดเด่นมาก โดยเฉพาะหุ้น H-Share ในตลาดฮ่องกงที่พุ่งไปถึง 20% ในขณะที่หุ้น A-Share ในตลาดแผ่นดินใหญ่ก็ขยับขึ้นราว 1% ส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี การที่ตลาดหุ้นจีนกลับมาแสดงสัญญาณแข็งแกร่ง ก็ทำให้กูรูบางท่านเริ่มเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ช่วงนี้ดูเหมือนจะอยู่ในช่วงปรับฐาน โดยดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ จากบล. อินโนเวชั่น เอ็กซ์ เคยให้มุมมองที่น่าสนใจว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังเผชิญปัจจัยที่น่ากังวลหลายอย่าง เช่น หนี้สินผู้บริโภคที่สูง ความเชื่อมั่นที่ต่ำลง และตลาดแรงงานที่ชะลอตัว ในขณะที่ ตลาดหุ้น จีน กลับมาแสดงศักยภาพจากปัจจัยภายในและการสนับสนุนจากภาครัฐ

พูดถึงปัจจัยภายในและภาครัฐ ก็ต้องบอกว่านี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ ตลาดหุ้น จีน เริ่มกลับมามีสีสันอีกครั้งครับ ข้อมูลเผยว่า ทางการจีนออกมาตรการหลายอย่างเพื่อพยุงและกระตุ้นตลาดทุนโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการที่ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้เปิดเผยว่าโบรกเกอร์รายใหญ่ให้คำมั่นว่าจะช่วยพยุงราคาหุ้น บริษัทจดทะเบียนจำนวนมากประกาศแผนซื้อหุ้นคืน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) สั่งการให้กองทุนรวมและบริษัทประกันเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้น หรือแม้แต่บริษัทโฮลดิ้งของรัฐบาลเองก็เพิ่มการลงทุนและผนึกกำลังกับกองทุนรัฐเพื่อสกัดการดิ่งลงของตลาด นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นก็เคยขอให้กองทุนรวมรายใหญ่ชะลอการขายหุ้นในช่วงต้นปีด้วย มาตรการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของภาครัฐที่จะรักษาเสถียรภาพของ ตลาดหุ้น จีน ครับ

ไม่เพียงแค่มาตรการพยุง แต่ยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่อัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ โดยเฉพาะการอุ้มภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเคยเป็นปัญหาใหญ่ นี่เองที่ส่งผลให้ ตลาดหุ้น จีน พุ่งขึ้นกว่า 30% ได้ (ตามข้อมูลที่ระบุถึงผลจากมาตรการนี้) นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีน (PBOC) ก็ยังมีโครงการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์เพื่อจัดหาเงินทุนให้สถาบันการเงินอีกด้วย นโยบายเหล่านี้สะท้อนความพยายามอย่างมากของรัฐบาลจีนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่จะมอง ตลาดหุ้น จีน เป็นสีชมพูไปเสียทั้งหมดครับ ข้อมูลก็ชี้ให้เห็นมุมมองที่แตกต่างกันจากสถาบันการเงินระดับโลก เช่น โนมูระ โฮลดิงส์ ที่เคยออกคำเตือนให้เตรียมรับมือกับภาวะฟองสบู่แตกใน ตลาดหุ้น จีน หลังจากที่ตลาดพุ่งขึ้นแรงที่สุดในรอบ 16 ปี โดยให้เหตุผลว่าพื้นฐานเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงอ่อนแออยู่ มุมมองนี้เตือนให้เราไม่ควรมองข้ามความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ภายใต้การฟื้นตัวที่ดูแข็งแกร่ง

แม้แต่ มอร์แกน สแตนลีย์ เองก็มีความเห็นที่ซับซ้อน ครั้งหนึ่ง (ข่าว 8 เม.ย.) เคยปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนี ตลาดหุ้น จีน เป็นครั้งที่ 2 ในปีนั้น และมีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจ แต่ในอีกข้อมูลหนึ่ง (ที่ระบุว่า สแตนลีย์และโกลด์แมน) กลับปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นจีน สะท้อนความกังวลแรงกดดันด้านเงินฝืด ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา

แต่ในอีกมุม โกลด์แมน แซคส์ กลับมีมุมมองที่ค่อนข้างบวก โดยคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้น จีน อาจพุ่งราว 20% ภายในสิ้นปี 2568 (ตามข้อมูล) โดยให้เหตุผลว่าบริษัทจีนจะนำเทคโนโลยี AI มาใช้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเติบโตของรายได้และดึงดูดเม็ดเงินลงทุน นี่แสดงให้เห็นว่ากูรูแต่ละสำนักก็มีข้อมูลและการตีความที่แตกต่างกันไปนะครับ

เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของ ตลาดหุ้น จีน มากขึ้น เราควรรู้จักโครงสร้างของมันสักหน่อยครับ จีนไม่ได้มีตลาดหุ้นแค่แห่งเดียว แต่มีถึง 4 แห่งหลักๆ คือ เซี่ยงไฮ้ (SSE) ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดและมีบริษัทขนาดใหญ่ เน้นเศรษฐกิจดั้งเดิมเป็นหลัก เซินเจิ้น (SZSE) ที่ใหญ่เป็นอันดับสอง เกณฑ์ยืดหยุ่นกว่า มีบริษัทด้านเทคโนโลยีและการแพทย์เยอะหน่อย คล้ายๆ NASDAQ ของสหรัฐฯ ปักกิ่ง (BSE) ที่เพิ่งเปิดเมื่อปี 2564 เน้นช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) และสุดท้าย ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX) ที่เก่าแก่ ได้รับความนิยมจากนักลงทุนต่างชาติมากที่สุด เพราะมีมาตรฐานสากลและข้อมูลภาษาอังกฤษ บริษัทเทคโนโลยีจีนขนาดใหญ่หลายแห่งก็ไปจดทะเบียนที่นี่ เช่น Alibaba, Tencent

หุ้นจีนเองก็มีหลายประเภท เช่น หุ้น A-Share (ซื้อขายด้วยเงินหยวนในจีนแผ่นดินใหญ่), หุ้น H-Share (บริษัทจีนไปจดทะเบียนในฮ่องกง), และ ADR (บริษัทจีนไปจดทะเบียนในสหรัฐฯ ในรูปแบบใบแสดงสิทธิ์) การรู้จักประเภทหุ้นเหล่านี้ช่วยให้เราเลือกวิธีการลงทุนได้เหมาะสมกับตัวเองครับ

จากข้อมูลและมุมมองทั้งหมดที่เล่ามา จะเห็นว่า ตลาดหุ้น จีน ตอนนี้เหมือนกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน มีทั้งแรงส่งที่น่าสนใจจากนโยบายภาครัฐ การฟื้นตัวของผลประกอบการบางกลุ่ม และ valuation ที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดอื่น แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบาย ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และสภาวะเศรษฐกิจมหภาคบางอย่าง

แล้วนักลงทุนแบบเราควรทำอย่างไรดีล่ะ? ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ เคยแนะนำกลยุทธ์ที่น่าสนใจ คือการกระจายความเสี่ยงครับ โดยแบ่งพอร์ตออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือ Core Portfolio เน้นสินทรัพย์ที่มั่นคง เติบโตระยะยาว ส่วนที่สองคือ Catalyst Portfolio ที่เน้นคว้าโอกาสการเติบโตจากปัจจัยเร่งต่างๆ เช่น การลงทุนใน ตลาดหุ้น จีน ผ่านกองทุนรวมที่เน้นหุ้น A-Share หรือหุ้นจีนโดยรวม ซึ่งตอนนี้มีกองทุนหลายประเภทให้เลือก หรือจะลงทุนผ่าน DR (Depositary Receipt) ในตลาดหุ้นไทยก็ได้

การลงทุนใน ตลาดหุ้น จีน ตอนนี้เหมือนกำลังมองหาโอกาสในจังหวะที่ตลาดเริ่มขยับ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยงครับ โดยเฉพาะตลาดที่มีปัจจัยเฉพาะตัวและนโยบายของภาครัฐมีผลสูงอย่างจีน

⚠️ ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลที่นำเสนอในวันนี้มาจากข้อมูลที่เราได้รับ ซึ่งอาจไม่ใช่ข้อมูลล่าสุดแบบเรียลไทม์ และการลงทุนใน ตลาดหุ้น จีน หรือตราสารทางการเงินใดๆ มีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ ราคาของสินทรัพย์เหล่านี้มีความผันผวนและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย การซื้อขายด้วยมาร์จินยิ่งเพิ่มความเสี่ยง ควรศึกษาความเสี่ยงและต้นทุนต่างๆ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และหากไม่แน่ใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขายหรือการพึ่งพาข้อมูลนี้ ห้ามนำข้อมูลนี้ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตนะครับ

สรุปแล้ว ตลาดหุ้น จีน กำลังกลับมาอยู่ในเรดาร์ของนักลงทุนอีกครั้ง ด้วยปัจจัยบวกหลายอย่างที่เข้ามาสนับสนุน แต่ก็ยังมีความท้าทายและมุมมองที่แตกต่างกันอยู่ การทำความเข้าใจภาพรวม ทั้งโอกาสและความเสี่ยง และการวางแผนลงทุนอย่างรอบคอบ โดยเน้นการกระจายความเสี่ยง น่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับนักลงทุนที่สนใจตลาดแห่งนี้ครับ