
จำได้ไหมครับ ตอน หุ้น OR เข้าตลาดใหม่ๆ เมื่อปี 2564 กระแสแรงมากๆ ใครๆ ก็อยากได้ มีคนจองซื้อเยอะจนต้องจัดสรรกันวุ่นวาย ราคา IPO อยู่ที่ 18 บาท หลายคนมองว่าเป็นหุ้นดี มีอนาคตสดใส เพราะมีปั๊มน้ำมัน (ธุรกิจ Mobility) ทั่วประเทศ แถมยังมี คาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon) ที่ขยายตัวรวดเร็ว (ธุรกิจ Lifestyle) เปรียบเสมือนร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมันที่สร้างรายได้ Non-Oil ได้ดีมากๆ
แต่พอเวลาผ่านไป ดูเหมือนราคา หุ้น OR จะไม่เป็นอย่างที่หลายคนคาดหวังนะครับ ราคาเคลื่อนไหวต่ำกว่าราคา IPO 18 บาท มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2566 ถึงต้นปี 2568 บางช่วงถึงกับทำจุดต่ำสุดใหม่ตั้งแต่เข้าตลาดเลยทีเดียว บรรยากาศความคึกคักตอน IPO หายไปเยอะ มูลค่าซื้อขายต่อวันก็ลดลง นักลงทุนรายย่อยบางส่วนก็เริ่มถอดใจ เห็นได้จากจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ลดลงไปกว่า 2 แสนราย มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดก็หายไปเยอะมากจากจุดสูงสุด คำถามที่หลายคนสงสัยตอนนี้คือ ถ้าจะ ถือยาวดีไหม สำหรับ หุ้น OR ตัวนี้?
ลองมาแกะดูสถานการณ์ของ OR กันหน่อยดีกว่าครับ ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เหมือนคนที่เราเคยชอบมากๆ แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจว่าจะคบ ถือยาวดีไหม
ในแง่ของธุรกิจ OR มีสองขาหลักๆ คือ ขาแรกเป็นธุรกิจน้ำมัน (Mobility) ซึ่งยังเป็นรายได้หลักอยู่ มีเป้าหมายจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดน้ำมันในประเทศอีก 2-3% ในปี 2568 ขาที่สองคือธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle หรือ Non-Oil) ที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง คาเฟ่ อเมซอน นี่แหละครับ รวมถึงแบรนด์อื่นๆ อย่าง Found & Found และยังมีแผนมองหาโอกาสควบรวมกิจการ (M&A) หรือลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ทั้งสองขานี้เป็นส่วนสำคัญใน แผนการลงทุน 5 ปี (ปี 2568-2572) ของ OR ที่วางงบไว้ 60,404.6 ล้านบาท โดยจะเน้นลงทุนในธุรกิจ Mobility ถึง 52.8% และ Lifestyle 25.7% แสดงให้เห็นว่ายังให้ความสำคัญกับทั้งสองส่วน แต่ก็พยายามเร่งเครื่อง Non-Oil ให้มากขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังพยายามควบคุมต้นทุนอย่างเข้มข้นด้วย

มาดูเรื่องผลประกอบการ หรือ ตัวเลขเศรษฐกิจ กันบ้างครับ ช่วงที่ผ่านมา ผลประกอบการของ OR มีความผันผวนอยู่บ้างในภาพรวมของปีก่อนๆ แต่ล่าสุดมีสัญญาณที่ดีขึ้นให้เห็นในไตรมาส 4 ปี 2567 และไตรมาสแรกปี 2568 ครับ ในไตรมาส 4 ปี 2567 กำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท พลิกกลับมาจากที่ขาดทุนในไตรมาส 3 ปีเดียวกัน ถือว่าดีขึ้นทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) หลักๆ มาจากกำไรขั้นต้นต่อลิตรที่ปรับตัวดีขึ้น และค่าใช้จ่ายที่ลดลง
ยิ่งมาดูไตรมาส 1 ปี 2568 ยิ่งเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นไปอีก กำไรสุทธิพุ่งไปถึง 4,380 ล้านบาท เพิ่มขึ้นโดดเด่นถึง 46% จากไตรมาส 4 ปี 2567 เลยทีเดียวครับ กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ก็เพิ่มขึ้น 32.7% การเติบโตนี้มาจากทุกกลุ่มธุรกิจเลยครับ ทั้งธุรกิจน้ำมัน (Mobility) ที่ขายดีขึ้น และธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle) กับธุรกิจต่างประเทศ (Global) ที่เติบโตได้ดีขึ้น ประกอบกับการบริหารค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร (SG&A) ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
ไม่ใช่แค่ผลประกอบการที่เริ่มดีขึ้นนะครับ ในแง่ของฐานะการเงิน OR ถือว่าแข็งแกร่งมากๆ ครับ ณ สิ้นปี 2567 มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ในมือถึง 47,230.98 ล้านบาท เหมือนมีเงินสดสำรองเยอะมากๆ มีกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรไว้ลงทุนหรือทำอย่างอื่นอีก 31,913.10 ล้านบาท หนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) ก็ค่อนข้างต่ำ (เคยอยู่ที่ 0.99 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2566) นอกจากนี้ OR ยังจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอด้วย อย่างงวดครึ่งหลังปี 2567 ก็จ่ายที่ 0.13 บาทต่อหุ้น ความแข็งแกร่งทางการเงินนี้ยังได้รับการยืนยันจากบริษัท ทริสเรทติ้ง (TRIS Rating) ที่ให้อันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ “AA+” พร้อมแนวโน้ม “Stable” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นคงทางการเงินของบริษัทครับ
แต่ถึงจะมีสัญญาณฟื้นตัวและฐานะการเงินแข็งแกร่ง OR ก็ยังเผชิญกับความท้าทายหลายอย่างที่ทำให้ราคาหุ้นยังไม่ไปไหนไกลนะครับ ปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งคือเรื่อง นโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะแผนในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันใหม่ และการนำระบบน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) มาใช้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ ค่าการตลาด (Marketing Margin) หรือกำไรขั้นต้นจากการขายน้ำมันต่อลิตร และอาจส่งผลต่อต้นทุนในอนาคตได้ครับ นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันและธุรกิจ Non-Oil ก็ยังมีการแข่งขันสูงมาก คู่แข่งพยายามแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดกันตลอดเวลา และที่สำคัญคือ การเติบโตของธุรกิจ Non-Oil ซึ่งเป็นความหวังของนักลงทุนหลายคน ยังไม่ได้เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเท่าที่ตลาดคาดหวังไว้ตั้งแต่แรก ตรงนี้ยังเป็นประเด็นที่ต้องพิสูจน์ตัวเองครับ

เมื่อเร็วๆ นี้ OR ก็มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารด้วยครับ ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ ซึ่งก็ต้องมารับไม้ต่อในสถานการณ์ที่ค่อนข้างท้าทาย ทั้งเรื่องผลประกอบการและราคาหุ้นที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
แล้วนักวิเคราะห์เขามองเรื่องนี้ยังไงกันบ้าง? ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นและการคุมค่าใช้จ่าย แต่สำหรับไตรมาส 2 ปี 2568 นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่ากำไรอาจจะอ่อนตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก เพราะปัจจัยฤดูกาล โปรโมชั่นน้ำมันในช่วงสงกรานต์ หรือความเสี่ยงจากผลขาดทุนสต็อกน้ำมัน (Stock Loss) ที่อาจเกิดขึ้นได้
สำหรับภาพรวมทั้งปี 2568 นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่ากำไรปกติของ OR น่าจะเติบโตได้เมื่อเทียบกับปี 2567 ครับ ปัจจัยหนุนก็มาจากปริมาณขายน้ำมันที่ฟื้นตัว การพยายามชิงส่วนแบ่งตลาดน้ำมันคืน และการเติบโตของธุรกิจ Lifestyle รวมถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น แต่ความท้าทายสำคัญที่นักวิเคราะห์กังวลก็ยังคงเป็นเรื่องความไม่แน่นอนของกฎหมายคุมราคาน้ำมัน แนวโน้ม ค่าการตลาด ในอนาคต และที่สำคัญคือความรวดเร็วในการเติบโตของธุรกิจ Non-Oil ว่าจะสร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำอย่างที่คาดหวังได้เมื่อไหร่
ด้วยมุมมองที่หลากหลายนี้ คำแนะนำและ ราคาเป้าหมาย จากบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ก็เลยแตกต่างกันไปครับ มีตั้งแต่แนะนำ “ซื้อ” สำหรับนักลงทุนที่มองระยะยาว ไปจนถึงแนะนำ “ถือ” หรือ “TRADING” สำหรับคนที่มองระยะสั้นกว่า โดยบางส่วนมองว่า ราคาหุ้นในปัจจุบันได้สะท้อนการฟื้นตัวของผลประกอบการไปแล้วบางส่วน หรือมองว่าการเติบโตจาก Non-Oil ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักครับ ราคาเป้าหมายก็เลยมีช่วงที่ค่อนข้างกว้าง (ตามข้อมูลจากหลาย บล. เช่น บล. เคจีไอ, บล. กรุงศรี, บล. ฟิลลิป, บล. ดาโอ, บล. กสิกรไทย, บล. บียอนด์ เป็นต้น)
มีอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ข่าวลือเรื่องการพิจารณา ซื้อหุ้นคืน ของบริษัทครับ ด้วยสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีเงินสดเยอะ หนี้ต่ำ และมีกำไรสะสมสูง ทำให้หลายคนมองว่า OR มีความพร้อมที่จะทำแบบนั้นได้ การ ซื้อหุ้นคืน หากเกิดขึ้นจริง ก็อาจเป็นเครื่องมือช่วยบริหารสภาพคล่อง เพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) และกำไรต่อหุ้น (EPS) รวมถึงอาจเป็นปัจจัยสนับสนุน ราคาหุ้น ในช่วงที่ตลาดยังไม่มั่นใจได้เหมือนกัน
สรุปแล้ว หุ้น OR ในตอนนี้ มันเหมือนมีทั้งด้านที่แข็งแกร่งและน่าสนใจ อย่างฐานะการเงินที่มั่นคง ผลประกอบการล่าสุดที่เริ่มฟื้นตัว และ แผนการลงทุน ที่ชัดเจน กับด้านที่ยังต้องพิสูจน์ตัวเองและเผชิญความท้าทายอยู่ ทั้งเรื่อง ราคาหุ้น ที่ยังต่ำกว่า IPO นโยบายรัฐที่ส่งผลต่อธุรกิจน้ำมัน การแข่งขันที่สูง และการเติบโตของธุรกิจ Non-Oil ที่ยังไม่เร่งเครื่องได้สุดๆ อย่างที่ตลาดคาดหวัง
คำถามที่ว่า หุ้น OR ถ้าจะ ถือยาวดีไหม? คำถามนี้ไม่มีคำตอบตายตัวที่ถูกต้องสำหรับทุกคนครับ มันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน เป้าหมายการลงทุน และความสามารถในการรับความเสี่ยงด้วย หากคุณเป็นนักลงทุนที่มองระยะยาวมากๆ และเชื่อมั่นใน แผนการลงทุน ของบริษัท โดยเฉพาะการขยายตัวของธุรกิจ Lifestyle และความสามารถในการปรับตัวภายใต้แรงกดดัน ก็อาจจะมองว่าราคานี้เป็นโอกาสได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการเติบโตนั้นอาจจะไม่ได้รวดเร็วเหมือนช่วงกระแส IPO
หากคุณเป็นนักลงทุนที่เน้นผลตอบแทนระยะสั้น การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น OR อาจจะยังไม่น่าสนใจมากนัก เพราะปัจจัยระยะสั้นอย่างค่าการตลาด หรือผลประกอบการไตรมาสต่อไตรมาสยังมีความผันผวนอยู่ครับ
สิ่งสำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจว่า หุ้น OR ถือยาวดีไหม คือการศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองอย่างรอบคอบครับ ทำความเข้าใจธุรกิจ แผนการดำเนินงาน ผลประกอบการ และปัจจัยความเสี่ยงต่างๆ อย่างแท้จริง แล้วค่อยตัดสินใจตามสไตล์การลงทุนของตัวเองครับ
⚠️ คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะ หุ้น OR ที่ตอนนี้ราคาซื้อขายต่ำกว่าราคา IPO อยู่ และยังมีปัจจัยภายนอกหลายอย่างที่ควบคุมได้ยากเข้ามาเกี่ยวข้อง การตัดสินใจว่าจะ ถือยาวดีไหม ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบมากๆ และหากเป็นเงินทุนที่มีสภาพคล่องไม่สูง ควรประเมินให้ดีก่อนตัดสินใจนะครับ