
ช่วงนี้เดินไปไหนมาไหนก็ได้ยินแต่คำว่า “หุ้น BYD” เต็มไปหมดเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูง หรือคนรู้จักในวงการ มักจะพูดถึงหุ้นตัวนี้พร้อมกับกระแสรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle – EV) ที่มาแรงแซงทางโค้งเหลือเกิน จนบางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เอ๊ะ แล้ว “หุ้น BYD” ที่พูดถึงกันนี่ สรุปแล้วหมายถึงบริษัทไหนกันแน่?
เรื่องนี้ต้องบอกเลยว่าเป็น “จุดที่หลายคนสับสน” จริงๆ ครับ เพราะในตลาดหุ้นบ้านเราเนี่ย มีบริษัทจดทะเบียนที่ใช้ชื่อย่อคล้ายกันมากอยู่ 2 บริษัท ซึ่งจริงๆ แล้วทำธุรกิจ “คนละเรื่อง” กันเลยครับ เปรียบง่ายๆ ก็เหมือนเราได้ยินชื่อ “พี่สมชาย” แล้วต้องถามว่า สมชายเพื่อนสมัยมัธยม หรือสมชายเจ้าของร้านกาแฟปากซอย? ต้องระบุให้ชัดเจนเนอะ
บริษัทแรกที่เราควรรู้จัก คือ บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คือ BYD เลยครับ ใช่ครับ ชื่อย่อเหมือนเป๊ะ! บริษัทนี้เป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับตลาดทุนในบ้านเราครับ หน้าที่หลักๆ ของเขาก็คือ เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (ที่เราเรียกง่ายๆ ว่า โบรกเกอร์ นั่นแหละครับ) คอยอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนอย่างเราๆ ซื้อขายหุ้นได้ นอกจากนี้เขายังทำธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับตลาดเงินตลาดทุนด้วย เช่น ค้าหลักทรัพย์ ให้คำปรึกษาการลงทุน จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ หรือเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต่างๆ ครับ พูดง่ายๆ คือเป็นผู้เล่นคนหนึ่งในแวดวงตลาดหุ้นไทยนี่แหละครับ
ลองมาดูข้อมูลราคาล่าสุด (อ้างอิงข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ที่มีให้มานะครับ) ราคาหุ้น BYD ซึ่งก็คือ บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ นี่แหละ ปิดอยู่ที่ประมาณ 0.50 บาทต่อหุ้น มีการซื้อขายกันในปริมาณหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าของบริษัทหลักทรัพย์อื่นๆ ในตลาด หรือกระแสที่พูดถึง “หุ้น BYD” ทั่วไป หลายครั้งไม่ได้หมายถึง BYD ตัวนี้เลยครับ

ทีนี้มาดู “หุ้น BYD” อีกตัวที่ดังระเบิดระดับโลกกันบ้าง ตัวนี้คือ BYD Co., Ltd. ครับ เป็นบริษัทจากประเทศจีน ที่เรียกได้ว่าเป็น “ยักษ์ใหญ่” ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ระดับโลกเลยทีเดียว ชื่อย่อในตลาดหุ้นจริงๆ ของ BYD จีนนี้คือ 1211 HK ครับ ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange) ครับ ไม่ได้ซื้อขายตรงๆ ในตลาดหุ้นไทยเหมือนบริษัทแรก
ประวัติของ BYD จีนก็น่าสนใจนะครับ เขาเริ่มต้นจากธุรกิจผลิตแบตเตอรี่เมื่อปี 2538 (ค.ศ. 1995) ก่อนจะขยับขยายมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจริงจังในปี 2546 (ค.ศ. 2003) ปัจจุบัน BYD จีนไม่ได้ทำแค่รถยนต์เก๋งไฟฟ้าอย่างเดียว แต่ยังมีรถยนต์แบบไฮบริดเสียบปลั๊ก (Plug-in Hybrid Electric Vehicle – PHEV) ที่เป็นลูกผสม วิ่งได้ทั้งน้ำมันและไฟฟ้า ซึ่งได้รับความนิยมมากในประเทศจีน นอกจากนี้เขายังผลิตรถบัสไฟฟ้าที่วิ่งกันอยู่ทั่วโลก รถบรรทุกไฟฟ้า และหัวใจสำคัญอีกอย่างคือ เขาผลิตแบตเตอรี่ของตัวเองด้วย โดยเฉพาะเทคโนโลยี “Blade Battery” (เบลด แบตเตอรี่) ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและความทนทาน แถมยังพยายามผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้ในรถยนต์ของตัวเอง เพื่อลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์ภายนอกอีกด้วยครับ ถือว่าทำธุรกิจแบบครบวงจรสุดๆ
ลองมองดูผลงานปี 2567 (ค.ศ. 2024) ที่ผ่านมา BYD จีนนี่ต้องบอกว่า “แรงไม่หยุด” เลยครับ ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ (New Energy Vehicle – NEV) ทั้งหมดพุ่งสูงถึง 4.27 ล้านคัน เกินเป้าที่ตั้งไว้เสียอีก โดยเฉพาะรถยนต์แบบ PHEV นี่ ยอดขายเติบโตโดดเด่นมากๆ ครับ การเติบโตนี้ทำให้รายได้ของ BYD จีนพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยไตรมาส 3 ปี 2567 รายได้สูงกว่า 2 แสนล้านหยวน เติบโตขึ้นกว่า 24% จากปีก่อนหน้า และที่น่าทึ่งคือบางไตรมาส รายได้ของ BYD จีนสูงกว่า Tesla (เทสลา) ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดโลกด้วยซ้ำ!
ด้วยขนาดธุรกิจและผลประกอบการที่แข็งแกร่งนี้ ทำให้ BYD จีน มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) ติดอันดับโลกในกลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เลยนะครับ เป็นรองเพียง Tesla และ Toyota (โตโยต้า) เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ระดับโลกเข้ามาร่วมลงทุนด้วยมากมาย เช่น Berkshire Hathaway (เบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์) ของมหาเศรษฐีนักลงทุน วอร์เรน บัฟเฟตต์ (แม้พักหลังจะมีการทยอยลดสัดส่วนการถือหุ้นลงบ้าง) รวมถึงกองทุนยักษ์ใหญ่อย่าง Blackrock (แบล็คร็อค), Vanguard (แวนการ์ด), State Street (สเตท สตรีท) เป็นต้น การมีนักลงทุนระดับโลกเหล่านี้เข้ามา ถือเป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับหุ้น BYD จีนครับ

ปัจจัยสนับสนุนหลักๆ ที่ทำให้ BYD จีนเติบโตได้ดี ก็มาจากหลายอย่างครับ อย่างแรกเลยคือนโยบายของรัฐบาลจีนที่สนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มที่ มีเงินอุดหนุนให้ประชาชนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ นี่เป็นเหมือนลมส่งที่สำคัญมากๆ อย่างที่สองคือกระแส Megatrend ยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ที่ผู้คนเริ่มเห็นข้อดีของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งในแง่การประหยัดพลังงานในระยะยาว ค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่ารถยนต์น้ำมัน และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มราคาแบตเตอรี่ที่ค่อยๆ ถูกลงจากการผลิตจำนวนมาก (Economies of Scales) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตได้อีก
อย่างไรก็ตาม ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะในประเทศจีนเองก็แข่งขันกัน “ดุเดือด” มากๆ ครับ ไม่ได้มีแค่ BYD จีนเจ้าเดียว ยังมีผู้เล่นรายอื่นๆ อีกเพียบที่ต่างก็พัฒนาเทคโนโลยีและพยายามแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด รวมถึงการที่นักลงทุนรายใหญ่ เช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทยอยลดสัดส่วนการถือหุ้นลง ก็อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นและราคาหุ้นได้ในระยะสั้นครับ
ดังนั้น กลับมาที่คำถามแรกว่า “หุ้น BYD” หมายถึงอะไร? ตอนนี้น่าจะเห็นภาพแล้วนะครับว่า “หุ้น BYD” ที่เราได้ยินในข่าวหรือจากเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ มักจะหมายถึง BYD Co., Ltd. ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมากกว่าครับ แต่ก็ต้องระวัง เพราะชื่อย่อในตลาดหุ้นไทยคือ BYD ดันไปซ้ำกับ บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ ในบ้านเรานั่นเอง
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ก่อนจะกระโดดเข้าไปลงทุนใน “หุ้น BYD” ตัวไหนก็ตาม สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดคือ “ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนว่า เรากำลังจะลงทุนในบริษัทไหนกันแน่” ครับ
ถ้าคุณสนใจ “หุ้น BYD” ที่เป็นบริษัทหลักทรัพย์ในไทย (BYD ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) คุณต้องศึกษาข้อมูลของบริษัทหลักทรัพย์นั้นๆ โดยตรง ทั้งในแง่ผลประกอบการ สภาพคล่องทางธุรกิจ การแข่งขันในอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นไทยครับ
แต่ถ้าคุณสนใจ “หุ้น BYD” ที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน (BYD Co., Ltd. หรือ 1211 HK ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง) คุณต้องไปศึกษาภาพรวมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของโลกและในประเทศจีนให้ลึกซึ้งครับ ดูผลประกอบการของ BYD จีนอย่างละเอียด ศึกษาเทคโนโลยีของเขา แนวโน้มการแข่งขัน นโยบายรัฐบาลจีน และช่องทางในการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ (ซึ่งอาจทำได้ผ่านบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศ หรือผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นจีนหรือหุ้นกลุ่ม EV)
⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยงสูงมาก โดยเฉพาะหุ้นที่มีความผันผวนสูงอย่างหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี หรือหุ้นต่างประเทศที่ต้องพิจารณาเรื่องความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงเฉพาะตัวของตลาดต่างประเทศนั้นๆ ก่อนตัดสินใจลงทุนใน “หุ้น BYD” ตัวไหนก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบมากๆ ทำความเข้าใจธุรกิจของบริษัทนั้นๆ อย่างถ่องแท้ และที่สำคัญคือ “ยอมรับความเสี่ยง” ที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งหมด หากเงินลงทุนส่วนนี้ไม่ใช่เงินเย็นจริงๆ หรือสภาพคล่องไม่สูงนัก แนะนำให้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน คิดให้รอบด้านก่อนที่จะนำเงินไปลงทุนนะครับ