ไขข้อสงสัย! เลือกโบรกเกอร์ถูกใจ ค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้น แต่ละโบรกเกอร์ 2566 คุ้มค่าพอร์ต

เพื่อนๆ ที่กำลังเล็งจะกระโดดเข้าสู่สนามหุ้น หรือบางคนอาจจะอยู่ในตลาดมาพักใหญ่แล้ว หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่วนเวียนอยู่ในหัวตลอดก็คือ “จะเลือกโบรกเกอร์ไหนดี?” สมัยนี้สะดวกสบายขึ้นเยอะ อยากเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น ไม่ต้องบุกไปถึงสาขาให้เสียเวลา แค่มีมือถือเครื่องเดียวก็ทำออนไลน์ได้สบายๆ ครับ

แต่พอเปิดบัญชีได้ปุ๊บ เรื่องที่ตามมาเหมือนเงาตามตัว และเป็นต้นทุนสำคัญที่เรามองข้ามไม่ได้เลย ก็คือเรื่อง “ค่าธรรมเนียม” หรือที่เรียกติดปากว่า “ค่าคอมมิชชั่น” นี่แหละครับ เจ้า ค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้น แต่ละโบรกเกอร์ เนี่ยไม่ใช่ตัวเลขเดียวโดดๆ นะครับ มันมีองค์ประกอบหลายอย่างมารวมกันกว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่ายทุกครั้งที่ซื้อหรือขายหุ้น ลองมาแกะดูทีละชั้นกัน

โครงสร้างค่าธรรมเนียมทั้งหมดที่เราเห็นในใบยืนยันการซื้อขาย (Confirmation) มันประกอบด้วย ค่าธรรมเนียมหลักๆ คือ “ค่าคอมมิชชั่นโบรกเกอร์” ซึ่งตรงนี้แหละที่แต่ละบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) คิดไม่เท่ากัน และเป็นส่วนที่เราเปรียบเทียบกันเยอะที่สุด นอกเหนือจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่คิดอัตราเท่ากันหมด ไม่ว่าคุณจะเทรดผ่านโบรกเกอร์ไหน เช่น ค่าธรรมเนียมตลาดหลักทรัพย์ (อัตรา 0.005% ของมูลค่าซื้อขายต่อวัน) ค่าธรรมเนียมการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ (อัตรา 0.001% ของมูลค่าซื้อขายต่อวัน) และค่าธรรมเนียมการกำกับดูแล (อัตรา 0.001% ของมูลค่าซื้อขายต่อวัน) ที่สำคัญคือยอดรวมของค่าธรรมเนียมทั้งหมดนี้ จะยังต้องบวกภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อีก 7% เข้าไปอีกทีครับ

โฟกัสไปที่ค่าคอมมิชชั่นโบรกเกอร์โดยเฉพาะ ตัวนี้แหละคือความแตกต่างที่แท้จริง แต่ละโบรกเกอร์เขามีวิธีคิดไม่เหมือนกันเป๊ะๆ นะครับ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยเลย อย่างแรกคือช่องทางที่เราส่งคำสั่งซื้อขาย ถ้าเทรดผ่านเจ้าหน้าที่ (Marketing) อัตราค่าคอมฯ มักจะสูงกว่าเทรดผ่านแอปพลิเคชันหรือโปรแกรมออนไลน์ที่เราส่งคำสั่งเองอยู่แล้วครับ อย่างที่สองคือเขาคิดตามมูลค่าการซื้อขายของเราในแต่ละวัน ส่วนใหญ่จะเป็นแบบขั้นบันไดครับ คือถ้าซื้อขายมูลค่าสูงขึ้น อัตราค่าคอมมิชชั่นอาจจะลดลงตามสเต็ปครับ และอย่างที่สามคือขึ้นอยู่กับประเภทบัญชีที่เราเปิดด้วยครับ

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่นิยมเปิดบัญชีแบบ Cash Balance (คล้ายๆ ระบบเติมเงิน คือต้องฝากเงินเข้าพอร์ตก่อนถึงจะซื้อหุ้นได้ ควบคุมงบประมาณได้ง่าย) อัตราค่าคอมมิชชั่นเริ่มต้นสำหรับการซื้อขายออนไลน์ส่วนใหญ่ก็อยู่แถวๆ 0.157% (อันนี้ยังไม่รวม VAT และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ของตลาดหลักทรัพย์นะครับ พอรวมแล้วก็จะสูงกว่านี้อีกนิดหน่อย)

ทีนี้มาถึงอีกเรื่องที่สำคัญมากสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่อาจจะไม่ได้มีเงินเยอะๆ เทรดต่อวันไม่สูงมาก นั่นก็คือ “ค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ” ครับ บางโบรกเกอร์เขากำหนดไว้เลยว่าต่อให้คุณซื้อขายแค่บาทเดียว แต่ถ้าคำนวณค่าคอมฯ ตามอัตราแล้วไม่ถึงยอดขั้นต่ำ (เช่น 50 บาทต่อวัน) คุณก็ต้องจ่ายเต็ม 50 บาทอยู่ดีครับ ลองคิดภาพตามนะครับ ถ้าคุณซื้อหุ้นไปแค่ 2,000 บาท ค่าคอมฯ 0.157% คือ 3.14 บาท แต่ถ้าโบรกฯ มีขั้นต่ำ 50 บาท คุณต้องจ่าย 50 บาทเลยนะครับ! กลายเป็นว่าจ่ายค่าคอมฯ ไปเกือบ 2.5% ของมูลค่าที่เทรดเลยทีเดียว ซึ่งต่างจากอัตราปกติลิบลับเลยครับ

แต่ข่าวดีคือ ในปี 2566 มีโบรกเกอร์จำนวนมากที่ยกเลิก ค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ สำหรับบัญชี Cash Balance ที่เทรดออนไลน์ครับ อันนี้เป็นประโยชน์กับนักลงทุนรายย่อยมากๆ เพราะเทรดเท่าไหร่ก็จ่ายค่าคอมฯ ตามจริงไปเลยครับ จากข้อมูล ณ จุดหนึ่งในปี 2566 มีถึง 21 โบรกเกอร์ที่ไม่มีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำนี้ และที่น่าสนใจคือมีโบรกเกอร์ที่เสนออัตราค่าคอมมิชชั่นเริ่มต้นที่ถูกมากๆ ครับ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ (LIB) เสนออัตราต่ำสุดๆ ที่ 0.007% (แต่ต้องซื้อขายผ่านแอปพลิเคชันของเขาเท่านั้นนะครับ) หรือ บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ZCOM) อยู่ที่ประมาณ 0.072% และ บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ (SBITO) อยู่ที่ประมาณ 0.082% ซึ่งตัวเลขเหล่านี้เป็นอัตราเริ่มต้นที่ยังไม่รวม VAT และค่าธรรมเนียมอื่นๆ นะครับ แต่ก็ถือว่าถูกกว่าอัตรามาตรฐานเยอะมากครับ การเปรียบเทียบ ค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้น แต่ละโบรกเกอร์ โดยพิจารณาเรื่องขั้นต่ำด้วยจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

นอกจากค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เราคำนวณกันแล้ว ยังมีเรื่องของ “ภาษีขายหุ้น” หรือภาษีจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกตัวที่เคยเป็นประเด็นร้อนครับ จริงๆ ภาษีตัวนี้เคยมีมาก่อน แต่ก็ได้รับการยกเว้นมานานถึง 32 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2535 แต่ก็มีการพิจารณาจะนำกลับมาจัดเก็บใหม่ ซึ่ง ณ ตอนนี้รัฐบาลชุดปัจจุบันยังไม่มีการจัดเก็บนะครับ แต่อนาคตก็ยังไม่แน่นอนครับ

หากมีการจัดเก็บจริง อัตราที่เคยมีการเสนอหรือคาดการณ์กันก็คือ ภาษีธุรกิจเฉพาะ 0.1% บวกกับภาษีท้องถิ่นอีก 10% รวมเป็น 0.11% ของมูลค่าการขายครับ หรืออาจจะลดเหลือ 0.055% ในปีแรกที่เริ่มเก็บ วิธีการจัดเก็บคือโบรกเกอร์จะเป็นคนหัก ณ ที่จ่าย และนำส่งสรรพากรแทนเราครับ ข้อสำคัญคือ ภาษีตัวนี้จะเก็บตั้งแต่บาทแรกที่คุณขายได้ ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุนก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามีการเก็บขึ้นมาจริง ก็จะเพิ่มต้นทุนในการซื้อขายให้กับนักลงทุนทุกคน โดยเฉพาะนักลงทุนที่เทรดบ่อยๆ หรือมีมูลค่าซื้อขายไม่สูงมากครับ ลองมองไปที่ต่างประเทศ อย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย หรือฮ่องกง เขาก็มีภาษีหรือค่าธรรมเนียมลักษณะนี้ที่เพิ่มต้นทุนการซื้อขายเหมือนกันครับ

ทีนี้ นอกจากเรื่อง ค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้น แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้กันในการเลือกโบรกเกอร์นะครับ

อย่างแรกคือ “ความน่าเชื่อถือ” บริษัทหลักทรัพย์ที่คุณเลือกต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีโครงสร้างที่ชัดเจน โปร่งใส ไม่เคยมีประวัติทำผิดกฎหมาย และเป็นสมาชิกของกองทุนคุ้มครองผู้ลงทุนในหลักทรัพย์ (SIPF) อันนี้สำคัญมากนะครับ เหมือนมีเกราะป้องกันเงินของเราในระดับหนึ่ง

อย่างที่สองคือ “บริการเสริม” บางโบรกเกอร์มีบทวิเคราะห์หุ้นดีๆ มีงานสัมมนาให้ความรู้ (ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์) มีข้อมูลข่าวสารเศรษฐกิจและการลงทุนอัปเดตให้เราตลอดเวลา อันนี้ก็ช่วยให้นักลงทุนอย่างเราๆ ตัดสินใจได้ดีขึ้นครับ

อย่างที่สามคือ “เครื่องมือและแอปพลิเคชัน” โปรแกรมซื้อขายยอดนิยมอย่าง Streaming Pro นี่ส่วนใหญ่ใช้กัน แต่บางโบรกเกอร์ก็มีแอปฯ หรือโปรแกรมของตัวเองที่อาจจะมีเครื่องมือพิเศษช่วยสแกนหาหุ้น หรือดูข้อมูลอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ อันนี้ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคนครับ

และสุดท้ายคือ “ความสะดวกในการเปิดบัญชีและบริการลูกค้า” เดี๋ยวนี้เปิดบัญชีออนไลน์ง่ายมากๆ ไม่กี่ขั้นตอนก็เสร็จ แต่ถ้าใครไม่มั่นใจ โบรกเกอร์ที่มีสาขาใกล้บ้านหรือในห้างสรรพสินค้าก็เป็นตัวเลือกที่ดีครับ และที่สำคัญคือเวลาเรามีปัญหาหรือข้อสงสัย มีเจ้าหน้าที่คอยตอบคำถามเราได้ทันท่วงทีไหม อันนี้สำคัญมากโดยเฉพาะมือใหม่ครับ

สรุปง่ายๆ คือ การเลือกโบรกเกอร์เพื่อเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นในปี 2566 (และปีต่อๆ ไป) ไม่ได้ดูแค่เรื่อง ค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้น แต่ละโบรกเกอร์ อย่างเดียวครับ ใช่ครับ ค่าคอมมิชชั่นเป็นต้นทุนสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องค่าธรรมเนียมขั้นต่ำที่ต้องระวังให้ดีถ้าคุณเป็นนักลงทุนรายย่อย มูลค่าซื้อขายไม่สูง แต่ก็ต้องมองไปที่ปัจจัยอื่นๆ ด้วย ทั้งความน่าเชื่อถือ บริการเสริม เครื่องมือ และความสะดวกในการใช้งาน ลองเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายๆ โบรกเกอร์ แล้วเลือกที่ตรงกับสไตล์การลงทุนและความต้องการของเรามากที่สุดครับ

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูล ค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้น แต่ละโบรกเกอร์ และปัจจัยอื่นๆ ให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ.