EBITDA ย่อมาจากอะไร? ไขความลับกำไรที่นักลงทุนต้องรู้!

เอาล่ะครับ วันนี้เรามาคุยกันเรื่องตัวเลขในงบการเงินที่หลายคนอาจจะเคยได้ยิน แต่ก็แอบงงๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่ โดยเฉพาะเจ้าตัวฮิตอย่าง EBITDA เพราะเวลาดูงบการเงินของบริษัทที่เราสนใจลงทุน บางทีตัวเลขกำไรมันมีหลายแบบเหลือเกิน จนบางทีก็แอบคิดในใจว่า “สรุปบริษัทนี้มันเก่งจริงรึเปล่า?”

เหมือนเวลาเราไปกินข้าวร้านโปรด แล้วจ่ายเงินค่าอาหารไป กะว่าจะได้กำไรจากการที่ลูกค้ามาอุดหนุนเยอะๆ แต่พอคิดไปคิดมา อ้าว! ไหนจะค่าเช่าร้าน ค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าวัตถุดิบที่ขึ้นราคา โน่นนี่นั่นเต็มไปหมด กว่าจะเหลือเป็นกำไรจริงๆ ก็อีกเรื่องเลย ตัวเลขในงบการเงินของบริษัทก็คล้ายๆ กันนี่แหละครับ

วันนี้ผมเลยอยากชวนทุกคนมาแกะรหัสตัวเลข “กำไรก่อน…” ที่จะช่วยให้เรามองเห็นภาพความสามารถในการทำเงินของธุรกิจได้ชัดเจนขึ้นอีกมุม โดยเฉพาะเจ้า EBITDA ที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์มักจะใช้กันจนติดปาก แล้วเรามาดูกันว่าไอ้เจ้า ebitda ย่อมาจาก อะไรกันแน่ แล้วมันบอกอะไรเราได้บ้าง

เวลาดูงบกำไรขาดทุนของบริษัท เราจะเห็นตัวเลขกำไรหลายบรรทัด ไล่ลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ยอดขาย กำไรขั้นต้น กำไรจากการดำเนินงาน จนถึงกำไรสุทธิ ซึ่งแต่ละบรรทัดมันก็มีการหักค่าใช้จ่ายบางอย่างออกไปก่อนแล้ว

มาเริ่มจากตัวแรกที่ง่ายที่สุดก่อน คือ EBT อันนี้ตรงไปตรงมาครับ EBT ย่อมาจาก Earnings Before Taxes หรือที่แปลเป็นไทยง่ายๆ ก็คือ “กำไรก่อนหักภาษีเงินได้” พูดง่ายๆ คือเป็นกำไรที่ได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ หมดแล้ว แต่ยังไม่ได้จ่ายส่วนแบ่งให้รัฐบาลในรูปของภาษีเงินได้นิติบุคคลนั่นเองครับ

ถัดมาคือ EBIT ตัวนี้เริ่มซับซ้อนขึ้นมาหน่อย EBIT ย่อมาจาก Earnings Before Interest and Taxes หรือ “กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี” ตัวนี้มักจะถูกเรียกว่า “กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Income)” ด้วยครับ ความพิเศษของ EBIT คือมันจะบอกเราว่า ธุรกิจหลักๆ ของบริษัทเนี่ย ทำเงินได้ดีแค่ไหน โดยไม่สนใจว่าบริษัทนั้นกู้เงินมาเยอะแค่ไหน (ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยตามมา) หรือมีภาระภาษีเท่าไหร่

การดู EBIT เนี่ยช่วยให้เราเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการทำธุรกิจหลักของบริษัทต่างๆ ได้ดีขึ้นในระดับหนึ่งนะ สมมติมีสองบริษัททำธุรกิจเหมือนกันเป๊ะ แต่บริษัทแรกมีหนี้เยอะ ต้องจ่ายดอกเบี้ยมหาศาล ในขณะที่อีกบริษัทใช้เงินตัวเองเป็นหลัก ไม่มีหนี้เลย ถ้าไปดูแค่กำไรสุทธิ บริษัทแรกอาจจะดูแย่กว่าเยอะ แต่ถ้าดูที่ EBIT อาจจะเห็นว่าจริงๆ แล้ว “แก่น” ของธุรกิจ หรือความสามารถในการทำมาหากินเนี่ย ไม่ได้ต่างกันเลยก็ได้นะ

ทีนี้ก็มาถึงพระเอกของเราครับ EBITDA ไอ้เจ้าตัวนี้แหละที่หลายคนชอบพูดถึงกันนักหนา แล้ว ebitda ย่อมาจาก อะไรล่ะ? EBITDA ย่อมาจาก Earnings Before Interest, Taxes, Depreciation, and Amortization ครับ แปลเป็นไทยก็คือ “กำไรก่อนหัก ดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย” เห็นไหมครับว่ามันต่อยอดมาจาก EBIT อีกที โดยเพิ่มการ “บวกกลับ” ค่าใช้จ่ายอีกสองอย่างเข้าไป คือ ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) และ ค่าตัดจำหน่าย (Amortization)

หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องบวกกลับค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายด้วยล่ะ? ค่าใช้จ่ายสองตัวนี้เป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชีครับ คือเป็นการทยอยปันส่วนต้นทุนของสินทรัพย์ระยะยาว (อย่างเช่น อาคาร เครื่องจักร สิทธิบัตร โปรแกรมคอมพิวเตอร์) ไปเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปีตลอดอายุการใช้งานของมัน ข้อสำคัญคือ “มันไม่ใช่เงินสดที่จ่ายออกไปจริงๆ ในงวดบัญชีนั้นๆ” ครับ เหมือนเราซื้อรถมา 1 ล้านบาท ไม่ได้หมายความว่าปีนี้เงินออกจากกระเป๋า 1 ล้าน แต่บัญชีจะตัดเป็นค่าเสื่อมไปเรื่อยๆ อาจจะปีละ 1 แสนบาท เป็นเวลา 10 ปี ไอ้เจ้า 1 แสนนี่แหละคือค่าเสื่อมราคา

การบวกกลับค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายในการคำนวณ EBITDA เลยทำให้ตัวเลขนี้ดูเหมือนจะ “ใกล้เคียงกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน” มากขึ้นครับ เพราะตัดรายการที่ไม่ใช่เงินสดออกไป มันเลยช่วยให้นักลงทุนมองเห็นภาพความสามารถในการสร้าง “เงินสดก่อนหักภาระทางการเงินและภาษี” ได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์มากๆ ในหลายกรณี

แล้ว EBITDA มีประโยชน์อะไรบ้างล่ะ ทำไมนักลงทุนถึงชอบใช้?

1. **วัดประสิทธิภาพการดำเนินงานหลัก:** อย่างที่บอกไปครับ EBITDA ช่วยให้เราโฟกัสที่ “แก่น” ของธุรกิจ โดยไม่ถูกบิดเบือนด้วยเรื่องภาระหนี้ (ดอกเบี้ย) ภาระภาษี หรือนโยบายการคิดค่าเสื่อมราคาของแต่ละบริษัท ซึ่งอาจแตกต่างกันไปได้
2. **เปรียบเทียบข้ามบริษัทได้ดีขึ้น (ในอุตสาหกรรมเดียวกัน):** ลองนึกถึงสองบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน บริษัทหนึ่งอาจจะใช้เครื่องจักรใหม่เอี่ยม ทำให้มีค่าเสื่อมราคาสูงกว่าอีกบริษัทที่ใช้เครื่องจักรเก่ากว่า หรือบริษัทหนึ่งกู้เงินมาลงทุนเยอะ ทำให้มีภาระดอกเบี้ยสูงกว่า การใช้ EBITDA ช่วยปรับปัจจัยพวกนี้ออกไป ทำให้เราเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการทำธุรกิจจริงๆ ได้แฟร์ขึ้นครับ (แต่ต้องย้ำว่า “ในอุตสาหกรรมเดียวกัน” นะ เพราะโครงสร้างต้นทุนและค่าเสื่อมแต่ละอุตสาหกรรมไม่เหมือนกันเลย)
3. **ประเมินความสามารถในการจ่ายคืนหนี้:** ธนาคารหรือเจ้าหนี้มักจะดู EBITDA เพื่อประเมินว่าบริษัทมีความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (ก่อนจ่ายดอกเบี้ยและภาษี) มากพอที่จะเอามาจ่ายคืนหนี้และดอกเบี้ยได้แค่ไหน มักจะดูจากอัตราส่วนอย่าง EBITDA ต่อหนี้สิน หรือ EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่าย
4. **ใช้ในการประเมินมูลค่ากิจการ:** เวลาที่มีการซื้อขายกิจการเกิดขึ้น EBITDA เป็นตัวเลขที่นิยมใช้มากในการประเมินมูลค่า เพราะมันสะท้อนความสามารถในการสร้างกำไรจากการดำเนินงานก่อนปัจจัยอื่นๆ ที่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละผู้ซื้อ (เช่น โครงสร้างภาษี หรือแผนการกู้เงิน)

แล้วบริษัทที่ดี ควรมี EBITDA แบบไหนล่ะ? แหล่งข้อมูลอย่าง setinvestnow.com หรือ knowledge.bualuang.co.th ให้แนวทางที่น่าสนใจครับ นอกจากยอดขายและกำไรขั้นต้นที่ควรเติบโตสม่ำเสมอแล้ว บริษัทที่มี EBITDA สูง มักจะสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการใช้กำลังการผลิต และความสามารถในการทำกำไรจากธุรกิจหลักได้ดี โดยทั่วไป อัตราส่วน EBITDA Margin (EBITDA หารด้วยรายได้ทั้งหมด) ที่สูงกว่า 10% มักจะถือว่าน่าสนใจครับ (แต่ก็ต้องดูเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมด้วยนะ)

แต่!!! (เสียงสูง) … ใช่ว่า EBITDA จะเป็นตัวเลขวิเศษ ใช้ดูตัวเดียวแล้วตัดสินใจได้เลยนะครับ กูรูระดับโลกอย่าง Warren Buffett เนี่ย เคยออกมาเตือนเรื่องการใช้ EBITDA อย่างเดียวไว้เลยครับ ท่านมองว่า ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) เนี่ย เป็น “ค่าใช้จ่ายจริงๆ” นะ ไม่ใช่แค่ตัวเลขทางบัญชีที่ไม่มีผลอะไร เพราะสินทรัพย์ของบริษัทมันก็เก่าลงทุกวัน และวันหนึ่งก็ต้องมีเงินไปซ่อมบำรุงหรือซื้อใหม่ การไม่นับค่าเสื่อมเป็นค่าใช้จ่ายในการวัดผลกำไรเลย อาจทำให้เรามองโลกสวยเกินไปได้

นอกจากนี้ การที่ EBITDA ไม่ได้หักดอกเบี้ยและภาษีออกไป ก็เป็นข้อจำกัดที่สำคัญครับ เพราะดอกเบี้ยเงินกู้และภาษีเงินได้เนี่ย ยังไงบริษัทก็ต้องจ่ายจริง เป็นเงินสดที่ไหลออกจากกระเป๋าจริงๆ การดูแค่ EBITDA สูงๆ อาจทำให้เรามองข้ามภาระหนี้สินและภาษีที่หนักอึ้งไปได้

บางทีบริษัทที่ผลประกอบการจริงๆ ไม่ได้สวยหรูนัก ก็อาจจะพยายามเน้นนำเสนอตัวเลข EBITDA ให้ดูดี เพื่อดึงดูดนักลงทุนก็ได้ครับ ซึ่งถ้าเราดูแค่ EBITDA อย่างเดียว ก็อาจจะโดนหลอกได้ง่ายๆ เลยนะ

**ข้อควรระวังที่สำคัญที่สุด** คือ **ห้ามใช้ EBITDA เพียงตัวเดียวในการตัดสินใจลงทุนเด็ดขาด!** ต้องดูประกอบกับตัวชี้วัดทางการเงินอื่นๆ เสมอครับ โดยเฉพาะ กำไรสุทธิ และที่สำคัญมากๆ คือ **กระแสเงินสด (Cash Flow)** ดูว่าบริษัทสร้างเงินสดจากการดำเนินงานได้จริงเท่า EBITDA ที่โชว์ไว้ไหม เพราะบางที EBITDA สูง แต่กระแสเงินสดติดลบก็มีนะ

และย้ำอีกครั้งว่า การเปรียบเทียบ EBITDA ควรทำกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันเท่านั้นครับ โครงสร้างต้นทุนและธรรมชาติของธุรกิจต่างกัน ตัวเลข EBITDA ก็ต่างกันตามไปด้วย

ในการนำไปใช้จริง EBITDA มีประโยชน์มากในการประเมินมูลค่า โดยเฉพาะบริษัทที่อยู่ในช่วงเติบโตสูง เพิ่งลงทุนหนักๆ ทำให้มีค่าเสื่อมราคาและภาระดอกเบี้ยสูง หรือบริษัทที่มีโครงสร้างเงินทุนและนโยบายบัญชีแตกต่างกันมากๆ การดู EBITDA ช่วยให้เราเห็นภาพ “ศักยภาพในการทำเงินจากธุรกิจหลัก” ได้ดีขึ้นในระยะยาวครับ แนะนำให้ดูแนวโน้ม EBITDA ย้อนหลังหลายๆ ปี ไม่ใช่แค่ปีเดียว

การที่เราจะมีข้อมูลทางการเงินที่แม่นยำ ไม่ว่าจะเป็น EBITDA, EBIT หรือตัวเลขอื่นๆ เนี่ย ระบบจัดการบัญชีที่ดีก็สำคัญมากๆ ครับ มันช่วยให้เราดึงข้อมูลมาคำนวณและวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง

**สรุปง่ายๆ** นะครับ เจ้า EBITDA ที่ ebitda ย่อมาจาก กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย เนี่ย เป็นเครื่องมือชั้นดีที่ช่วยให้เรามองเห็น “หัวใจ” การทำกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทได้ชัดขึ้น โดยตัดเสียงรบกวนจากเรื่องโครงสร้างเงินทุน (หนี้สิน) ภาระภาษี และวิธีคิดค่าเสื่อมราคา ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบริษัท

แต่มันไม่ใช่ “กำไรเงินสด” ทั้งหมด และห้ามใช้ตัวเดียวโดดๆ เด็ดขาด! เหมือนเวลาไปตรวจสุขภาพครับ เราไม่ได้ดูแค่ความดันโลหิตอย่างเดียวใช่ไหม ต้องดูทั้งชีพจร ระดับน้ำตาล คอเลสเตอรอล ฯลฯ การวิเคราะห์บริษัทก็เหมือนกันครับ ต้องดูงบการเงิน “ทั้งฉบับ” เปรียบเทียบหลายๆ ตัวชี้วัด ทั้ง EBITDA, EBIT, กำไรสุทธิ และที่สำคัญสุดๆ คือ “กระแสเงินสด” ด้วยนะ

ก่อนตัดสินใจลงทุนอะไร ให้ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ วิเคราะห์ให้ลึกถึงเบื้องหลังตัวเลขจริงๆ ครับ

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ