
เพื่อนสนิทฉันชื่อ “เมย์” เป็นสายแฟชั่นตัวยง ล่าสุดถอยกระเป๋าใบใหม่มา เป็นแบรนด์ที่เห็นโลโก้ปุ๊บรู้เลยว่า “แพง!” เธอบอกว่านี่เป็นการลงทุนในความสุข แต่ฉันในฐานะคนที่คลุกคลีกับตัวเลขในตลาดการเงิน อดคิดไม่ได้ว่า แล้วไอ้ “บริษัท” ที่ผลิตความสุขราคาแพงพวกนี้ออกมาให้เราได้เห็นกันเนี่ย เบื้องหลังเขาเป็นยังไง น่าลงทุนด้วยไหม?
พูดถึงสินค้าแบรนด์หรู หรือที่ภาษาบ้านๆ เราเรียก “แบรนด์เนม” หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว เป็นของคนรวยเท่านั้น แต่ในโลกของการลงทุน ธุรกิจสินค้าแบรนด์หรู (Luxury Goods) ถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวนะ มันเหมือนปราสาทที่มีกำแพงสูงลิบลิ่ว (มีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดสูง) ใครจะกระโดดเข้ามาเป็นเจ้าของแบรนด์ดังๆ แข่งกับเจ้าตลาดได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องใช้เวลาสร้างชื่อ สร้างคุณค่า และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภครู้สึก “อิน” กับแบรนด์จริงๆ และในบรรดาปราสาทแบรนด์หรูมากมายทั่วโลกนี้ มี “ราชา” ผู้ยิ่งใหญ่ที่ครองอาณาจักรอยู่ เขาคนนั้นก็คือ บริษัท LVMH โมเอต์ เฮนเนสซี่ – หลุยส์ วิตตอง (LVMH Moët Hennessy – Louis Vuitton) ที่เป็นเจ้าของแบรนด์ดังนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton), คริสเตียน ดิออร์ (Christian Dior), ทิฟฟานี่ แอนด์ โค (Tiffany & Co.), บุลการี (Bulgari) ไปจนถึงเครื่องดื่มอย่าง โมเอต์ แอนด์ ชองดอง (Moët & Chandon), เฮนเนสซี่ (Hennessy) หรือร้านเครื่องสำอางอย่าง เซโฟรา (Sephora) ข้อมูล ณ พฤศจิกายน ปี 2566 บอกว่า LVMH นี่แหละคือผู้นำตลาด กินส่วนแบ่งไปถึงราวๆ 59% เลยทีเดียว
แล้วตลาด สินค้าแบรนด์หรู โตได้ยังไง? ปัจจัยหลักๆ เลยคือคนชนชั้นกลางทั่วโลกที่มีกำลังซื้อมากขึ้น ยิ่งคนรวยขึ้น ตลาดนี้ก็ยิ่งไปได้สวย โดยเฉพาะตลาดในเอเชีย อย่าง ญี่ปุ่น และที่สำคัญมากๆ คือ จีน (China) ไม่ว่าจะคนจีนที่ชอบไปช้อปปิ้งตอนไปเที่ยว ยุโรป หรือ ญี่ปุ่น หรือซื้อในประเทศตัวเอง ก็ยังเป็นแหล่งทำเงินมหาศาลให้กับ LVMH แต่ใช่ว่าฟ้าจะใสเสมอไปนะ ช่วงนี้ก็มีเมฆมาบ้าง เช่น สภาพเศรษฐกิจบางภูมิภาคอย่างใน สหรัฐอเมริกา ที่เริ่มชะลอตัว ทำให้คนกระเป๋าแฟบลงหน่อย ยอดขายบางอย่างก็อาจจะแผ่วไปบ้าง แถมยังมีเทรนด์ใหม่ๆ ในหมู่คนรุ่นใหม่ที่เริ่มมองว่าการใช้ของแบรนด์เนมฟุ่มเฟือยไม่น่าอวดเท่าไหร่ หันมาเน้นความคุ้มค่า หรือที่เรียกว่า “Loud Budgeting” แทน อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ LVMH ต้องเจอ

ทีนี้มาเจาะดู ตัวเลขเศรษฐกิจ ของ LVMH กันบ้าง บริษัทนี้มี 5 กลุ่มธุรกิจหลักที่เป็นหัวใจในการทำเงิน ซึ่งกลุ่มที่ทำรายได้สูงสุดตลอดก็คือ แฟชั่นและเครื่องหนัง (Fashion & Leather Goods) ตามมาด้วย ค้าปลีกเฉพาะทาง (Specialty Retail) อย่าง เซโฟรา ผลประกอบการ ปี 2566 ต้องบอกว่ายังแข็งแกร่งมากนะ รายได้รวมพุ่งไป 86.2 พันล้าน ยูโร เติบโตถึง 13% จากปีก่อนหน้า ส่วนกำไรก็ไม่น้อยหน้าอยู่ที่ 22.8 พันล้าน ยูโร โตขึ้น 8% ลองคิดดูนะ อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ของเขาสูงลิ่วถึงราว 70% เลยนะ เหมือนขายของได้เงินมา 100 บาท ต้นทุนแค่ 30 บาท กำไร 70 บาท มันสุดยอดมากๆ หรือดูจาก อัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา (EBITDA Margin) ก็ยังสูงถึง 30.86% แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรที่น่าทึ่ง
แต่ชีวิตมันไม่ได้มีแต่ขาขึ้นเสมอไปนะ ผลประกอบการล่าสุดใน ไตรมาส 1 ปี 2568 (ซึ่งก็คือช่วงต้นปี 2024) LVMH รายงานตัวเลขที่น่าผิดหวังเล็กน้อย คือรายได้รวมกลับลดลง 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งๆ ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะโต 2% นะเนี่ย กลุ่มที่เคยเป็นหัวใจสำคัญอย่าง แฟชั่นและเครื่องหนัง ยอดขายก็ลดลง 5% กลุ่มไวน์และสุรา (Wines & Spirits) ลดฮวบไป 9% ส่วนกลุ่มน้ำหอมและเครื่องสำอางก็ลดลง 1% ตัวเลขชุดนี้ทำเอาหลายคนเริ่มขมวดคิ้ว แล้วตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับ หุ้นlvmh?
แน่นอนว่าพอผลประกอบการออกมาแบบนี้ ราคาหุ้น LVMH ที่ตลาดหลักทรัพย์ ยูโรเน็กซ์ ปารีส (Euronext Paris) ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ราคาล่าสุด ณ วันที่ข้อมูลอ้างอิงอยู่ที่ 479.00 ยูโร มีการปรับลดลงทั้งในรอบสัปดาห์ (-6.48%) และรอบเดือน (-3.78%) มันก็เป็นธรรมดาของตลาดหุ้นที่ตอบสนองกับข่าวสาร แต่ถ้ามองย้อนไป หุ้นlvmh เคยทำราคาสูงสุดตลอดกาล (ATH) ที่ 904.60 ยูโร เมื่อวันที่ 24 เมษายน ปี 2566 แสดงว่าช่วงนั้นนักลงทุนให้คุณค่ากับบริษัทนี้สูงมากๆ ส่วนช่วงที่แย่สุดๆ ก็เคยเห็นที่ 16.65 ยูโร เมื่อ 20 มกราคม ปี 2537 ซึ่งตอนนั้นบริษัทยังไม่ใหญ่เท่าทุกวันนี้ มูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) ล่าสุดของ LVMH ก็ยังมหาศาลอยู่ที่ประมาณ 239.10 พันล้าน ยูโร นะ
ถ้าดูจากตัวเลขอัตราส่วนการเงินอื่นๆ อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) อยู่ที่ 24.42 เท่า (ข้อมูล ปี 2567) ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่นักลงทุนประเมินว่าหุ้นตัวนี้มีศักยภาพ แต่ก็ไม่ได้ถูกมาก ส่วนอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ที่ 1.92% (ข้อมูล ปี 2567) ก็ถือว่ามีปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้ชื่นใจบ้าง แม้ผลประกอบการล่าสุดจะดูแผ่วลงไป นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็ยังมองว่า หุ้นlvmh ยังน่าสนใจในระยะยาว และประเมิน ราคาเป้าหมาย เฉลี่ยสูงกว่าราคาปัจจุบันนะ แต่ก็มีบางแห่งที่ปรับลดคำแนะนำลงบ้าง หลังเห็นตัวเลขไตรมาสแรกปีนี้ มันก็เหมือนการประเมินสุขภาพหุ้น ที่ต้องดูทั้งอดีต ปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคตประกอบกัน

มาถึงคำถามสำคัญสำหรับ นักลงทุนไทย อย่างเราๆ คือ แล้วจะไปลงทุนใน หุ้นlvmh ได้ยังไง? จะไปซื้อหุ้นที่ตลาด ยูโรเน็กซ์ ปารีส เลยก็ยุ่งยากใช่ไหมล่ะ? ข่าวดีคือ นักลงทุนไทยสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ของ LVMH ได้สะดวกขึ้นผ่าน ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า DR (Depositary Receipt) นั่นเอง
ตราสารแสดงสิทธิ ในหลักทรัพย์ต่างประเทศของ LVMH ที่ซื้อขายใน ตลาดหุ้นไทย มีชื่อย่อว่า “แอล วี เอ็ม เอช ศูนย์ หนึ่ง” หรือ LVMH01 ออกโดย บล.บัวหลวง หลักการง่ายๆ คือ เขาเอาหุ้น LVMH ของจริงที่จดทะเบียนในตลาด ยูโรเน็กซ์ ปารีส มาเป็นหลักทรัพย์อ้างอิง แล้วออกเป็น ตราสารแสดงสิทธิ ใน ตลาดหุ้นไทย โดยมีอัตราอ้างอิงอยู่ที่ 1 หลักทรัพย์อ้างอิง (หุ้น LVMH) ต่อ 1,600 ตราสารแสดงสิทธิ หมายความว่า หุ้น LVMH ตัวใหญ่ๆ ถูกซอยเป็นชิ้นเล็กๆ 1,600 ชิ้น ให้เราคนไทยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ลงทุนได้ด้วยเงินจำนวนน้อยลง และที่สำคัญคือซื้อขายด้วย สกุลเงินบาทไทย ได้เลย สะดวกสุดๆ
ข้อดีของการลงทุนใน หุ้นlvmh ผ่าน ตราสารแสดงสิทธิ LVMH01 คือ เรามีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนถือหุ้นอ้างอิงโดยตรง เช่น ถ้า LVMH จ่าย เงินปันผล ผู้ถือ ตราสารแสดงสิทธิ ก็มีโอกาสได้รับ เงินปันผล นั้นด้วย (หลังจากหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ) และที่เด็ดกว่าคือ กำไรส่วนต่างราคาจากการขาย ตราสารแสดงสิทธิ ใน ตลาดหุ้นไทย ยังได้รับการ ยกเว้นภาษี ตามกฎเกณฑ์ตลาดหุ้นไทยด้วยนะ เหมือนได้ลงทุนหุ้นต่างประเทศแบบไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีกำไรส่วนต่างเลย
แต่ข้อควรรู้คือ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการซื้อขาย ตราสารแสดงสิทธิ LVMH01 คือช่วงที่ ตลาดหุ้นไทย และ ตลาดหลักทรัพย์ ยูโรเน็กซ์ ปารีส เปิดทำการพร้อมกัน เพื่อให้ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) สามารถทำหน้าที่ดูแล สภาพคล่อง ของ ตราสารแสดงสิทธิ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เราซื้อขายได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนซื้อคนขาย
สรุปแล้ว LVMH ยังคงเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการ สินค้าแบรนด์หรู ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีแบรนด์ดังในมือมากมาย และมีศักยภาพการเติบโตในระยะยาว แม้จะมีช่วงที่ ผลประกอบการ แผ่วไปบ้างตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ด้วยสถานะผู้นำและอำนาจในการกำหนดราคา ก็ทำให้เขายังเป็นบริษัทที่น่าจับตามองสำหรับ นักลงทุน และสำหรับ นักลงทุนไทย ที่สนใจ หุ้นlvmh ก็มีช่องทางที่เข้าถึงง่ายขึ้นผ่าน ตราสารแสดงสิทธิ LVMH01
⚠️ อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ก่อนตัดสินใจลงทุนใน หุ้นlvmh ผ่าน ตราสารแสดงสิทธิ LVMH01 ควรศึกษาข้อมูลบริษัท, แนวโน้มอุตสาหกรรม, ผลประกอบการ ล่าสุด, การประเมินของ นักวิเคราะห์ รวมถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ ตราสารแสดงสิทธิ และการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศอย่างรอบคอบ และประเมินความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ด้วยนะ อย่าเพิ่งเทเงินทั้งหมดไปกับการลงทุนในหุ้นตัวเดียว หรืออุตสาหกรรมเดียว กระจายความเสี่ยงตามความเหมาะสมของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จำไว้ว่าบทความนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น การตัดสินใจลงทุนต้องมาจากข้อมูลที่ครบถ้วนและการวิเคราะห์ด้วยตัวเองเสมอ