
เพื่อนผมคนนึงเพิ่งเริ่มสนใจลงทุนหุ้น แกชอบถามผมบ่อยๆ ว่า ตลาดหลักทรัพย์ปิดกี่โมง บ้างก็ว่าเลิกงานแล้วอยากดูกราฟต่อ อีกทีตลาดก็ปิดซะแล้ว บางวันก็บอกว่า เอ๊ะ ทำไมวันนี้รู้สึกว่าเวลาปิดไม่เหมือนเมื่อก่อนนะ?
คำถามนี้โดนใจหลายคนเลยครับ เพราะตลาดหุ้นไทยเรา หรือที่เรียกกันติดปากว่า SET เนี่ย มีการปรับเวลาทำการซื้อขายไปเมื่อไม่นานมานี้เอง การรู้เวลาที่แน่นอนเป็นเรื่องพื้นฐานมากๆ สำหรับนักลงทุน จะได้วางแผนการเทรดถูกจังหวะ ไม่ว่าจะสายเก็งกำไรหรือสายลงทุนระยะยาวก็ตาม
จริงๆ แล้ว เวลาทำการของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เนี่ย เดิมทีเค้าจะแบ่งเป็น 2 รอบนะครับ คือช่วงเช้า ตั้งแต่ 10 โมงเช้า ไปจนถึง 12:30 น. แล้วก็หยุดพักทานข้าว พักสมองกันช่วงบ่ายก็เริ่มอีกที 14:30 น. ไปจนถึง 16:30 น. รวมๆ แล้วก็ประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน
แต่ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 เป็นต้นมา เค้ามีการปรับเวลาทำการช่วงบ่ายใหม่ครับ! ให้เริ่มเร็วขึ้นกว่าเดิม 30 นาที พูดง่ายๆ คือ พอพักเที่ยงเสร็จ แทนที่จะรอถึงบ่ายสองครึ่ง ก็เริ่มซื้อขายกันตั้งแต่ บ่ายสองโมงตรงเลย!
ถามว่า ทำไมต้องปรับ? การเปลี่ยนแปลงเวลาทำการของ ตลาดหลักทรัพย์ปิดกี่โมง เนี่ย ไม่ใช่แค่ปรับเล่นๆ นะครับ มันมีเหตุผลเบื้องหลังอยู่ครับ หนึ่งในเหตุผลหลักเลยก็คือ เค้าอยากให้เวลาซื้อขายของเราเนี่ย ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน หรือตลาดใหญ่ๆ ทั่วโลกมากขึ้นครับ เพราะตลาดพวกนี้ส่วนใหญ่เค้าจะมีเวลาทำการที่ยาวกว่าบ้านเรา บางที่เปิดซื้อขายกัน 5-7 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว การปรับเวลาให้เร็วขึ้นก็เหมือนกับการ “ยืด” ช่วงเวลาทำการซื้อขายหลักทรัพย์ออกไปอีกนิดครับ

การทำแบบนี้มีประโยชน์ต่อนักลงทุนอย่างเราๆ มากเลยครับ สมมติว่ามีข่าวสารสำคัญ หรือปัจจัยอะไรที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นโลกเกิดขึ้นในช่วงบ่ายๆ ที่ตลาดหุ้นบ้านเรายังไม่เปิด พอเปิดทำการเร็วขึ้น เราก็จะมีเวลาปรับกลยุทธ์การลงทุนได้ทันที ไม่ต้องรอไปถึงบ่ายสองครึ่ง ซึ่งบางทีสถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปแล้ว การปรับครั้งนี้ก็เหมือนกับการเพิ่มโอกาสและความยืดหยุ่นให้กับนักลงทุนมากขึ้นนั่นเองครับ แถมยังเป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยให้ทัดเทียมกับตลาดต่างประเทศด้วยครับ ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนก็มองว่า การขยายเวลาแบบนี้อาจจะช่วยหนุนให้มูลค่าการซื้อขายโดยรวมของตลาดเพิ่มขึ้นได้ด้วยนะ
ทีนี้มาดูเวลาทำการแบบละเอียดๆ หลังปรับกันสักหน่อยครับ สำหรับตลาด SET และ mai ช่วงบ่าย เวลาใหม่จะเป็นแบบนี้ครับ
* ช่วงก่อนเปิดทำการช่วงบ่าย (Pre-Opening Period): 13:30 – 14:00 น.
* ช่วงเวลาทำการซื้อขายช่วงบ่าย (Trading Session II): 14:00 – 16:30 น.
เห็นไหมครับว่า ช่วง Trading Session II เนี่ย เคาะซื้อขายกันตั้งแต่บ่ายสองตรงเป๊ะ ไปปิดตอนสี่โมงครึ่ง ส่วนใครที่เทรดสินค้าอนุพันธ์ในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เวลาทำการช่วงบ่ายเค้าก็ปรับให้เร็วขึ้นเหมือนกันครับ
* ช่วงก่อนเปิดตลาดภาคบ่าย TFEX: 13:15 – 13:45 น.
* ช่วงเวลาทำการซื้อขายภาคบ่าย TFEX (Afternoon Session): 13:45 – 16:55 น.
จะเห็นว่า TFEX เค้าเปิดเร็วกว่า SET/mai นิดหน่อย แล้วก็ปิดช้ากว่านิดหน่อยด้วยครับ
นอกจากเวลาทำการหลักแล้ว ตลาดหุ้นเค้ายังมีช่วงเวลาอื่นๆ ที่ควรรู้ด้วยครับ อย่างช่วงก่อนเปิด (Pre-open) ที่เล่าไปแล้ว เค้าจะใช้วิธีที่เรียกว่า Auction คือเอาคำสั่งซื้อขายทั้งหมดในช่วงนั้นมาจับคู่กันทีเดียว ส่วนช่วงเวลาทำการปกติ เค้าจะใช้วิธี จับคู่อัตโนมัติ หรือ Automated Order Matching (AOM) ที่จะจับคู่คำสั่งซื้อขายให้เราแบบต่อเนื่อง ใครส่งคำสั่งมาก่อน ราคาดีกว่า ก็ได้คิวก่อนว่างั้นเถอะครับ

ยังมีช่วงก่อนปิดทำการ (Pre-close) ที่จะใช้วิธี Auction เหมือนตอนก่อนเปิด เพื่อหาราคาปิดของวันครับ แล้วก็มีช่วงนอกเวลาทำการ (Off-hour) สำหรับพวกการซื้อขายแบบพิเศษ เช่น Big Lot (ซื้อขายหุ้นจำนวนมากๆ) หรือการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งพวกนี้เค้าจะใช้วิธี บันทึกการซื้อขาย (Trade Report) แยกต่างหากครับ เวลาทำการซื้อขายของ ตลาดหลักทรัพย์ปิดกี่โมง เนี่ย จริงๆ แล้วก็ครอบคลุมถึงช่วงเวลาเหล่านี้ด้วยนะครับ ต้องลองเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มเติมถ้าเรามีการซื้อขายแบบพิเศษพวกนี้ครับ
เรื่องหน่วยการซื้อขายก็มีสองแบบหลักๆ คือ หน่วยการซื้อขายปกติ (Board Lot) ที่เค้ากำหนดจำนวนหุ้นไว้ต่อ 1 หน่วย กับ หน่วยย่อย (Odd Lot) ที่มีจำนวนหุ้นน้อยกว่า Board Lot ครับ
ข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยก็ดูซึมๆ ไปหน่อยครับ ดัชนีหลักๆ อย่าง SET Index ก็ปรับตัวลดลงไปประมาณ 12 จุด ปิดอยู่ที่ 1,203.72 จุด ในวันนั้นมีปริมาณการซื้อขายรวมกว่า 11,520 ล้านหุ้น มูลค่าประมาณ 7.4 หมื่นล้านบาทครับ ดัชนีอื่นๆ อย่าง SET50, SET100, sSET ก็ปรับตัวลดลงตามไปด้วย
พอดูข้อมูลมูลค่าการซื้อขายแยกตามกลุ่มนักลงทุนในวันนั้น (28 ก.พ. 2568) จะเห็นภาพที่น่าสนใจครับ นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิรายใหญ่ ซื้อไปกว่า 8 พันล้านบาท ขายออก 4.7 พันล้านบาท สุทธิคือซื้อมากกว่าขายไปกว่า 3.2 พันล้านบาทครับ นักลงทุนรายย่อยในประเทศอย่างเราๆ ก็ซื้อสุทธิเช่นกันครับ ซื้อไป 1.8 หมื่นล้านบาท ขายออก 1.5 หมื่นล้านบาท สุทธิคือซื้อมากกว่าขายไป 2.3 พันล้านบาท
ส่วนนักลงทุนต่างชาติ วันนั้นดูจะขายทำกำไรออกมาเยอะเลยครับ ซื้อไป 4.4 หมื่นล้านบาท แต่ขายออกถึง 4.9 หมื่นล้านบาท สุทธิคือขายมากกว่าซื้อไปเกือบ 5 พันล้านบาทครับ ด้านบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ก็ขายสุทธิเช่นกันครับ สุทธิขายออกไปประมาณ 6 ร้อยล้านบาท ข้อมูลเหล่านี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงภาวะและพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาด ณ วันนั้นครับ
ภาพรวมของตลาดทุนไทยในปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลาเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งด้านเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รวมถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลก การที่ ตลาดหลักทรัพย์ปิดกี่โมง และเปิดกี่โมง มีการปรับเปลี่ยน ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องการยกระดับบริการต่างๆ ให้มีความทันสมัย แข่งขันได้ในระดับสากล และตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของนักลงทุนในยุคที่ข้อมูลข่าวสารวิ่งเร็วปานสายฟ้าแลบครับ
สรุปง่ายๆ ว่า ตอนนี้ถ้าถามว่า ตลาดหลักทรัพย์ปิดกี่โมง สำหรับตลาดหุ้นไทย SET และ mai ช่วงบ่าย เวลาทำการซื้อขายหลัก (Trading Session II) คือตั้งแต่บ่าย 2 โมงตรง (14:00 น.) ไปจนถึงสี่โมงครึ่ง (16:30 น.) นะครับ ส่วน TFEX ช่วงบ่ายจะเริ่มบ่ายโมงสี่สิบห้า (13:45 น.) ไปปิดห้าโมงเย็นพอดี (16:55 น.) ครับ
สิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนมือใหม่และมือเก๋าคือ ต้องรู้เวลาทำการที่ชัดเจนของตลาดที่เราเทรดอยู่เสมอครับ โดยเฉพาะช่วง Pre-open, Trading Session และ Pre-close เพราะแต่ละช่วงมีวิธีการจับคู่คำสั่งซื้อขายและรายละเอียดปลีกย่อยต่างกันไป บางทีราคาที่เราตั้งซื้อหรือขายอาจจะไปแมทช์ในช่วงเวลาเหล่านี้ก็ได้ครับ
สุดท้ายนี้ ไม่ว่า ตลาดหลักทรัพย์ปิดกี่โมง หรือเปิดกี่โมง การลงทุนในหลักทรัพย์มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ อย่าลืมวางแผนการซื้อขายให้ดี โดยเฉพาะถ้าต้องตัดสินใจตามข่าวสารสำคัญในช่วงเวลาที่ตลาดเปิดทำการ เพื่อให้เราไม่พลาดโอกาสและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ!