เดินไปทางไหนก็เจอ iPhone หูฟัง AirPods หรือแม้แต่คอมพิวเตอร์ Mac เครื่องสวยๆ ใช่ไหมครับ/คะ? ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ชื่อว่า Apple Inc. หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ Apple และบริษัทนี้ก็มีหุ้นที่ซื้อขายกันทั่วโลก ที่นักลงทุนบ้านเราเองก็ให้ความสนใจไม่น้อย เรามาดูกันครับ/คะว่า เบื้องหลังความสำเร็จและผลิตภัณฑ์ที่เราเห็นกันทุกวันนั้น หุ้นแอปเปิ้ล (AAPL) มีเรื่องราวอะไรที่น่ารู้บ้าง
เรื่องราวของ Apple เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1976 โดยผู้ก่อตั้งหัวกะทิอย่าง สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) สตีฟ วอซเนียก (Steve Wozniak) และ โรนัลด์ เวย์น (Ronald Wayne) จากจุดเล็กๆ ในโรงรถ สู่การเป็นบริษัทระดับตำนานที่เปลี่ยนโลกเทคโนโลยีไปตลอดกาล หุ้นของ Apple ใช้สัญลักษณ์ย่อว่า AAPL และเข้าตลาดหุ้นครั้งแรกที่ Nasdaq ในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ปี 1980 ด้วยราคาจิ๋วๆ แค่ 22 ดอลลาร์ต่อหุ้น (ก่อนมีการแตกหุ้นในภายหลัง) ใครจะคิดว่าหุ้นตัวนี้จะสร้างผลตอบแทนมหาศาลมาจนถึงทุกวันนี้ และยังเป็นบริษัทแรกของโลกที่มูลค่าตลาดทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2018 และ 2 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2020 อีกด้วย

แล้ว Apple ที่ใหญ่ขนาดนี้ ทำเงินจากอะไรบ้างล่ะ? หลายคนอาจจะคิดว่า Apple ทำเงินจาก iPhone อย่างเดียว ก็จริงส่วนหนึ่งครับ/คะ เพราะรายได้กว่าครึ่ง (ประมาณ 51.45% อ้างอิงข้อมูลปีงบประมาณ 2567 ไตรมาส 1-3) ยังมาจาก iPhone ราชาแห่งสมาร์ทโฟนที่หลายคนขาดไม่ได้ แต่ที่น่าจับตามองสุดๆ และเป็นเหมือนขาที่สองที่แข็งแรงมากๆ ของ Apple คือ กลุ่ม ‘บริการ’ (Services) ครับ/คะ กลุ่มนี้โตแรงมากถึง 12.87% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) กลายเป็นแหล่งรายได้ใหญ่เป็นอันดับสอง คิดเป็นเกือบ 25% ของรายได้รวม ซึ่งบริการเหล่านี้ก็คือสิ่งที่เราใช้กันบ่อยๆ นั่นแหละครับ/คะ เช่น Apple Music (แอปเปิล มิวสิค), App Store (แอป สโตร์), iCloud (ไอคลาวด์), Apple Pay (แอปเปิล เพย์) และอื่นๆ อีกเพียบ การเติบโตของกลุ่มบริการนี้สำคัญมาก เพราะช่วยกระจายความเสี่ยง ไม่ให้บริษัทพึ่งพารายได้จากฮาร์ดแวร์อย่างเดียว เหมือนมีหลายๆ ขาที่คอยพยุงกันไว้ ไม่ได้พึ่งพาแค่ขาเดียว ส่วนรายได้อื่นๆ ก็มาจาก Mac (แมค), iPad (ไอแพด), Apple Watch (แอปเปิล วอทช์), AirPods (แอร์พอดส์) และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่เราคุ้นเคยกันดีครับ/คะ
ถ้าดูตัวเลขการเงินล่าสุด (อ้างอิงข้อมูล ณ วันที่ 21 ก.ย.) Apple มีมูลค่าตลาด (Market Cap) สูงถึงประมาณ 3.471 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ลองนึกภาพเงินจำนวนมหาศาลนี้ดูนะครับ/คะ! อัตราส่วน P/E (Price-to-Earnings Ratio) ซึ่งบอกว่านักลงทุนยอมจ่ายกี่เท่าของกำไรต่อหุ้น ก็อยู่ที่ประมาณ 35.20 เท่า ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง สะท้อนว่านักลงทุนมองเห็นศักยภาพการเติบโตในอนาคตของหุ้นแอปเปิ้ลค่อนข้างมากครับ/คะ ส่วนกำไรต่อหุ้น (EPS) ในรอบ 12 เดือนล่าสุดอยู่ที่ 6.43 ดอลลาร์ และ Apple ก็จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นด้วย โดยปีล่าสุดจ่ายอยู่ที่ 1.00 ดอลลาร์ต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลประมาณ 0.44% ถ้าดูจากข้อมูลการวิเคราะห์จากหลายแหล่ง นักวิเคราะห์หลายคนก็ยังมองบวก โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยของหุ้นแอปเปิ้ลในอีก 1 ปีข้างหน้าอยู่ที่ประมาณ 196.35 ดอลลาร์

แล้วอะไรคือจุดแข็งที่ทำให้ Apple ยังคงเป็นบริษัทแถวหน้าของโลก? แน่นอนครับ/คะ หนึ่งคือ แบรนด์ที่แข็งแกร่งและความภักดีของลูกค้า ไม่ว่า Apple ออกอะไรมาใหม่ มักจะมีกลุ่มแฟนคลับพร้อมสนับสนุนเสมอ สองคือ นวัตกรรมและการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น การพัฒนาชิป M-Series สำหรับ Mac ที่แรงและประหยัดพลังงานกว่าเดิมมาก สามคือ ระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่ครอบคลุม การที่ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างของ Apple เชื่อมต่อกันหมด ตั้งแต่ iPhone, iPad, Mac ไปจนถึง Apple Watch และบริการต่างๆ ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกสะดวกสบายและยากที่จะเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่น เหมือนเราอยู่ใน ‘โลกของ Apple’ ที่ออกไปไหนยากหน่อย เพราะมันสะดวกไปหมด และยังมีโอกาสเติบโตในตลาดใหญ่อย่างจีนและอินเดีย ซึ่งมีประชากรจำนวนมากและกำลังซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ/คะ นอกจากนี้ Apple ยังให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน โดยตั้งเป้าหมาย Net Zero ในกระบวนการผลิตภายในปี 2030 ซึ่งเป็นเทรนด์ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ ช่วงนี้ได้ยินข่าวเรื่อง AI กันเยอะใช่ไหมครับ/คะ? อุตสาหกรรมเทคโนโลยีก็ต้องปรับตัว ซึ่ง Apple เองก็มีข่าวเชื่อมโยงกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เหมือนกัน ต้องรอดูทิศทางและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในอนาคตว่าจะนำ AI มาใช้ประโยชน์ได้มากแค่ไหน ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญต่อหุ้นแอปเปิ้ลได้ครับ/คะ
ฟังดูน่าสนใจใช่ไหมครับ/คะ? แล้วนักลงทุนไทยอย่างเรา จะลงทุนในหุ้นแอปเปิ้ลนี้ได้ยังไงบ้าง? วิธีที่ง่ายและสะดวกสุดๆ สำหรับคนไทย คือ การลงทุนผ่าน ‘ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์ต่างประเทศ’ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า DR ครับ/คะ ซึ่งเปรียบเสมือนการที่เราได้ลงทุนในหุ้น Apple ทางอ้อม โดย DR ที่อ้างอิงหุ้น Apple ใช้ชื่อย่อซื้อขายว่า AAPL80 ออกโดย ธนาคารกรุงไทย (KTB) เราสามารถซื้อขาย DR ตัวนี้ได้เหมือนหุ้นไทยทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเลยครับ/คะ ข้อมูลล่าสุด (วันที่ 23 พฤษภาคม 2568) DR ชื่อย่อ AAPL80 ปิดตลาดอยู่ที่ 6.65 บาท มีปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ 144,880 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 9.5 แสนบาท ซึ่งราคาก็จะขยับขึ้นลงตามราคาหุ้น Apple ในตลาด Nasdaq นั่นแหละครับ/คะ แต่ต้องคำนึงถึงอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
นอกจาก DR แล้ว ยังมีช่องทางอื่นอีก เช่น การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศโดยตรงผ่านบริษัทหลักทรัพย์ไทยที่ให้บริการ หรือการเทรด CFD (Contract for Difference) ซึ่งเป็นการเก็งกำไรส่วนต่างราคาผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศที่ให้บริการในไทย บางโบรกเกอร์ก็มีให้เลือกหลากหลาย เช่น Liberator, XTB, ZFX เป็นต้น ช่องทางเหล่านี้อาจมีรายละเอียด ค่าธรรมเนียม หรือความซับซ้อนที่แตกต่างกันออกไป นักลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจครับ/คะ

สรุปแล้ว หุ้นแอปเปิ้ล (AAPL) ก็เป็นหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่แข็งแกร่งมากๆ จากแบรนด์ นวัตกรรม และการสร้าง Ecosystem ที่ดึงดูดผู้ใช้งาน แม้รายได้หลักจะยังมาจาก iPhone แต่กลุ่มบริการก็กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด เป็นเหมือนเครื่องยนต์ตัวใหม่ที่สำคัญ ส่วนนักลงทุนในประเทศไทยเองก็มีหลายช่องทางในการเข้าถึง หุ้นแอปเปิ้ล นี้ได้ ทั้งผ่าน DR ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไทย หรือช่องทางการลงทุนต่างประเทศอื่นๆ ครับ/คะ
สำหรับคนที่สนใจ หุ้นแอปเปิ้ล ก็เป็นหนึ่งในหุ้นระดับโลกที่น่าจับตามองและศึกษา แต่การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นตัวไหนก็ตาม ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรทำความเข้าใจธุรกิจของ Apple ให้ลึกซึ้ง ศึกษาผลการดำเนินงาน ตัวเลขทางการเงิน และแนวโน้มในอนาคตให้รอบด้านครับ/คะ
⚠️ **คำเตือน:** การลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ทั้งผ่าน DR หรือช่องทางอื่นๆ มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และความผันผวนของราคาหุ้นที่อิงตามตลาดต่างประเทศ ควรศึกษาข้อมูลบริษัทให้ละเอียด ประเมินความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งครับ/คะ