ไขข้อสงสัย Cash Balance ในพอร์ต คืออะไร? พร้อมวิธีรับมือหุ้นติด T

เพื่อนๆ นักลงทุนและคนที่แอบส่องตลาดหุ้นไทยอยู่เป็นประจำ เคยสงสัยกันไหมครับว่า เวลาที่เราเห็นข่าวหุ้นบางตัวขึ้นเครื่องหมายแปลกๆ อย่างตัว “T” ห้อยท้าย แล้วมีคนพูดถึง “หุ้นติด Cash Balance” นี่มันคืออะไรกันแน่? หรือบางทีเราอยากจะเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น ก็เห็นมีชื่อบัญชีหลายแบบจัง ทั้งบัญชีเงินสด บัญชีมาร์จิ้น แล้วไอ้ “บัญชี Cash Balance” ที่เขาพูดถึงกันบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาหุ้นร้อนๆ เนี่ย มันคืออะไร? แล้วคำว่า “cash balance ในพอร์ต คือ” มันหมายถึงเงินสดที่เรามี หรือเป็นชื่อบัญชี หรือเป็นมาตรการของตลาดหลักทรัพย์ฯ กันแน่? วันนี้ในฐานะคอลัมนิสต์สายการเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัว จะมาไขข้อข้องใจนี้ให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกับเพื่อนครับ

ลองนึกภาพตามนะครับว่า การซื้อขายหุ้นก็เหมือนการที่เราไปเดินตลาดนัด แล้วจะซื้อของสักชิ้น วิธีจ่ายเงินก็มีหลายแบบใช่ไหมครับ ในโลกของการลงทุนหุ้นก็เหมือนกัน เรามี “ประเภทบัญชี” ที่ใช้ซื้อขายหลักทรัพย์อยู่หลายแบบ หลักๆ ที่นักลงทุนไทยคุ้นเคยก็จะมี 3 แบบใหญ่ๆ ครับ

แบบแรกคือ “บัญชีเงินสด” หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า Cash Account อันนี้คล้ายๆ กับเราใช้บัตรเครดิตซื้อของครับ คือเรายังไม่ต้องจ่ายเงินทันทีที่ซื้อ แต่ต้องมี “หลักประกัน” เป็นเงินสดหรือหุ้นในพอร์ตอย่างน้อย 20% ของมูลค่าที่เราจะซื้อ แล้วค่อยไปจ่ายเงินจริงๆ ในอีก 2 วันทำการถัดไป (ระบบเขาเรียกว่า T+2 คือ Trade date + 2 วันทำการ) เราจะซื้อได้ไม่เกินวงเงินที่โบรกเกอร์อนุมัติให้ หรือที่เรียกว่า Credit Limit ครับ บัญชีแบบนี้เหมาะกับนักลงทุนทั่วไปที่มีวินัยในการจัดการเงิน เพราะเราต้องแน่ใจว่าถึงวันจ่ายเงินจริงๆ (T+2) เรามีเงินพอ ถ้าไม่มีก็จะเกิดปัญหาได้

แบบที่สองนี่แหละครับคือตัวเอกของเราในวันนี้ “บัญชีวางหลักประกันเต็มจำนวน” หรือที่นิยมเรียกกันว่า “บัญชี Cash Balance” หรือ Cash Deposit ชื่อมันก็บอกตรงๆ เลยครับว่า ถ้าจะซื้อหุ้นด้วยบัญชีนี้ เราต้อง “ฝากเงินสดเต็มจำนวน 100%” ไว้กับโบรกเกอร์ก่อนส่งคำสั่งซื้อเลยครับ เหมือนกับการที่เราเอาเงินสดใส่ซองไว้ แล้วเดินไปซื้อของในตลาดนัดแบบจ่ายเงินสดเป๊ะๆ เราซื้อได้เท่าจำนวนเงินสดที่เรามีอยู่ในบัญชีนี้เท่านั้น ไม่สามารถซื้อเกินวงเงินฝากได้เลย ข้อดีคือมันช่วยป้องกันเราจากการซื้อหุ้นเกินกำลังเงินสดที่มีอยู่ได้ดีมากๆ ครับ แถมบางทีค่าคอมมิชชั่น (ค่านายหน้า) สำหรับบัญชี Cash Balance อาจจะถูกกว่าบัญชี Cash Account ทั่วไปด้วยนะครับ ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ เงินสดที่เรายังไม่ได้เอาไปซื้อหุ้นในบัญชีนี้ โบรกเกอร์บางแห่งอาจจะให้ดอกเบี้ยด้วยนะ (อันนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายแต่ละโบรกเกอร์) ด้วยความที่ต้องฝากเงินก่อนซื้อ และจำกัดวงเงินตามเงินที่ฝาก บัญชีแบบนี้เลยเหมาะมากๆ สำหรับนักลงทุนมือใหม่ หรือคนที่อยากบริหารความเสี่ยง จำกัดวงเงินการลงทุนในแต่ละครั้งให้ชัดเจน หรือคนที่เน้นเรื่องค่าคอมมิชชั่นที่อาจจะถูกลงครับ

ส่วนแบบที่สามคือ “บัญชีกู้ยืมเงินเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์” หรือ Credit Balance / Margin Account อันนี้ซับซ้อนขึ้นมาหน่อยครับ คือโบรกเกอร์จะให้เรากู้เงินส่วนหนึ่งมาซื้อหุ้นได้ เท่ากับว่าเราใช้เงินตัวเองส่วนหนึ่ง บวกกับเงินที่ยืมโบรกเกอร์มาอีกส่วนหนึ่ง ทำให้เรามี “อำนาจซื้อ” มากกว่าเงินสดที่เรามีอยู่จริงๆ ครับ แต่แน่นอนว่าการกู้ยืมย่อมมี “ต้นทุน” เพิ่มเข้ามานั่นก็คือ “ดอกเบี้ย” ที่ต้องจ่ายให้โบรกเกอร์ และมีความเสี่ยงสูงขึ้นมากตามอัตราส่วนที่เรากู้มา บัญชีแบบนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มีความรู้ ประสบการณ์ และรับความเสี่ยงสูงได้ครับ

ทีนี้กลับมาที่คำถามแรก “cash balance ในพอร์ต คือ” ในแง่ของ “ประเภทบัญชี” ก็คือเงินสดที่เราฝากไว้เต็มจำนวน 100% ในบัญชี Cash Balance ของเรา เพื่อรอซื้อหุ้นนั่นเองครับ ยอดเงินที่เราใช้ซื้อหุ้นได้จริงในบัญชีนี้ จะเรียกว่า Line Available ซึ่งก็คือยอดเงินสดคงเหลือที่เราฝากไว้ (หักคำสั่งซื้อที่ค้างอยู่) นั่นแหละครับ

แต่คำว่า “Cash Balance” ไม่ได้มีแค่ความหมายเดียวในโลกหุ้นนะครับ มันยังมีอีกความหมายที่ทำให้นักลงทุนหลายคนงง หรือบางทีก็แอบหวั่นๆ นั่นคือ “มาตรการกำกับการซื้อขาย” ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นำมาใช้กับ “หุ้น” บางตัวที่มีพฤติกรรมการซื้อขายผิดปกติ หรือมีการเก็งกำไรกันอย่างร้อนแรงผิดปกติครับ หุ้นที่โดนมาตรการนี้ก็จะถูกเรียกว่า “หุ้นติด Cash Balance” ครับ

ทำไมตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องทำแบบนี้? เหตุผลหลักๆ คือ เพื่อ “ลดความร้อนแรง” ในการซื้อขายหุ้นตัวนั้นๆ ครับ ป้องกันการเก็งกำไรที่อาจทำให้ราคาหุ้นผันผวนรุนแรงจนเกินปัจจัยพื้นฐาน และป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับนักลงทุนรายย่อยที่อาจจะตามแห่ซื้อตามกระแส โดยไม่ได้ศึกษาข้อมูลให้ดีครับ

เกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้พิจารณาว่าหุ้นตัวไหนควรติด Cash Balance ก็มีหลายอย่างครับ ตัวอย่างเช่น ดูว่ามีการซื้อขายหมุนเวียนบ่อยแค่ไหน (Turnover Ratio) สูงผิดปกติไหม หรือมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในช่วงหนึ่งสูงมากหรือเปล่า ซึ่งเขาก็จะมีตัวเลขกำหนดไว้ เช่น อาจจะดูว่าอัตราหมุนเวียนสูงกว่า 30% ขึ้นไป หรือมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 100 ล้านบาทสำหรับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลัก (SET) หรือ 20 ล้านบาทสำหรับหุ้นในตลาด **เอ็ม เอ ไอ**(mai) ครับ บางครั้งก็อาจจะพิจารณาเรื่องอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไร (P/E Ratio) ประกอบด้วย ถ้าเห็นว่าราคาพุ่งขึ้นไปสูงมากจนไม่สอดคล้องกับกำไรของบริษัทเลย

เมื่อหุ้นตัวไหนเข้าเกณฑ์ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็จะประกาศรายชื่อออกมา โดยหุ้นเหล่านั้นจะถูกขึ้น “เครื่องหมาย T” (Trading Alert List) หลังชื่อหุ้นบนกระดานซื้อขายครับ แล้วก็จะเริ่มใช้มาตรการกำกับการซื้อขาย ซึ่งมีหลายระดับ ล่าสุด (อัปเดตเกณฑ์ 1 เมษายน 2565) มี 3 ระดับหลักๆ ครับ:

* **T1 (ระดับ 1):** หุ้นตัวนี้จะถูกกำหนดให้ “ต้องซื้อขายด้วยบัญชี Cash Balance เท่านั้น” ครับ นี่คือความเชื่อมโยงระหว่าง “ชื่อบัญชี” กับ “มาตรการ” อย่างชัดเจน! หมายความว่า ถ้าคุณใช้บัญชี Cash Account หรือ Credit Balance ทั่วไป จะไม่สามารถส่งคำสั่งซื้อหุ้นตัวที่ติด T1 ได้เลยครับ ต้องมีเงินสดเต็มจำนวนในบัญชี Cash Balance เท่านั้นถึงจะซื้อได้ แถมยัง “ห้าม” ใช้หุ้นตัวอื่นที่เรามีอยู่มาเป็นหลักประกันในการคำนวณวงเงินซื้อขายหุ้นตัวนี้ด้วยครับ
* **T2 (ระดับ 2):** เข้มข้นขึ้นมาอีกขั้น นอกเหนือจากเงื่อนไขของ T1 แล้ว ยัง “ห้าม Net Settlement” ด้วยครับ Net Settlement คือการหักกลบราคาซื้อขายหลักทรัพย์ตัวเดียวกันในวันเดียวกัน เช่น ถ้าเราซื้อหุ้น A ตอนเช้า แล้วขายหุ้น A ตอนบ่าย ระบบจะเอาราคามาหักลบกันแล้วคิดยอดจ่าย/รับสุทธิ แต่พอติด T2 คือห้ามทำแบบนี้ครับ ซื้อคือซื้อ ขายคือขาย แยกรายการกันชัดเจน
* **T3 (ระดับ 3):** มาตรการสูงสุด วันแรกที่โดน T3 จะ “ห้ามซื้อขายหลักทรัพย์นั้นเป็นเวลา 1 วันทำการ” เลยครับ เหมือนสั่งพักการซื้อขายไปเลยวันนึง หลังจากนั้นก็จะเข้าเงื่อนไขของ T2 ต่อไป

โดยปกติ มาตรการกำกับการซื้อขายนี้จะมีผลครั้งละ 3 สัปดาห์ครับ แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจจะพิจารณาขยายเวลา หรือยกระดับมาตรการให้เข้มข้นขึ้นได้อีก ถ้าพฤติกรรมการซื้อขายยังเข้าข่ายเกณฑ์อยู่

ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนต้องเข้าใจคือ “หุ้นติด Cash Balance ไม่ได้แปลว่าเป็นหุ้นไม่ดีเสมอไปนะครับ” แต่มันบ่งบอกถึง “พฤติกรรมการซื้อขาย” ที่คึกคักผิดปกติ เข้าข่ายที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเข้ามาดูแลเพื่อความปลอดภัยของระบบครับ การซื้อขายหุ้นกลุ่มนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ติดตามข่าวสารและข้อมูลของบริษัทอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่ซื้อตามกระแสเพียงอย่างเดียว

ในการซื้อขายจริง ไม่ว่าจะเป็นบัญชีประเภทไหน ก็มีคำศัพท์และเกณฑ์ที่เราควรรู้ไว้บ้างครับ นอกจาก Line Available ที่บอกยอดเงินซื้อได้จริงแล้ว ยังมี Credit Limit ที่เป็นวงเงินสูงสุดที่โบรกเกอร์อนุมัติ (สำหรับ Cash Account และ Credit Balance) หรือเรื่อง Odd Lot คือการซื้อขายหุ้นในจำนวนที่ไม่ครบหน่วยซื้อขายปกติ (ปกติ 100 หุ้น) ซึ่งจะมีกระดานแยกต่างหาก หรือแม้กระทั่งสาเหตุที่คำสั่งซื้อหรือขายของเราขึ้นสถานะ “Cancel” (ยกเลิก) ซึ่งสาเหตุยอดฮิตเลยก็คือ “หลักประกันไม่เพียงพอ” นี่แหละครับ โดยเฉพาะถ้าใช้บัญชี Cash Balance แล้วเงินสดใน Line Available ไม่พอสำหรับคำสั่งซื้อนั้นๆ หรือในบัญชี Cash Account ที่วางเงินไม่ครบ 20% แล้วยอดไม่พอ ก็จะโดน Cancel ได้ นอกจากนี้ บัญชีอาจถูกล็อคถ้าเราไม่ได้อัปเดตข้อมูลส่วนตัวประจำปีกับโบรกเกอร์ตามกำหนดด้วยนะครับ

อีกเรื่องที่หลายคนสงสัยเวลาดูต้นทุนหุ้นในพอร์ตคือ ทำไมราคาเฉลี่ยมันเปลี่ยนไป ทั้งที่ซื้อเพิ่มหรือขายไปแล้ว บางทีดูงงๆ อันนี้เกี่ยวกับวิธีการคำนวณต้นทุนหุ้นที่ระบบใช้ครับ ส่วนใหญ่เขาใช้แบบ “**ไฟโฟ**(FIFO)” (First in – First out) คือถือว่าหุ้นที่เราซื้อเข้ามา “ก่อน” จะถูกนำไปขายออก “ก่อน” ทำให้ราคาเฉลี่ยต้นทุนของหุ้นที่เหลืออยู่ในพอร์ตเราเปลี่ยนแปลงไปตามหลักการนี้ครับ

สรุปแล้ว คำว่า “cash balance ในพอร์ต คือ” ในบริบทของการลงทุนหุ้นไทย จึงมีความหมายได้ทั้ง “ยอดเงินสดที่เราฝากไว้ในบัญชี Cash Balance เพื่อรอซื้อหุ้น” และหมายถึง “มาตรการกำกับการซื้อขายที่กำหนดให้หุ้นที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย T ต้องซื้อขายด้วยบัญชี Cash Balance เท่านั้น” ครับ

สำหรับนักลงทุนทุกท่าน โดยเฉพาะมือใหม่ การทำความเข้าใจเรื่องประเภทบัญชีซื้อขายและมาตรการกำกับดูแลต่างๆ เป็นเรื่องสำคัญมากๆ ครับ การเลือกประเภทบัญชีควรเลือกให้เหมาะสมกับสไตล์การลงทุน ประสบการณ์ และระดับความเสี่ยงที่เรารับได้ ถ้าเราเป็นมือใหม่ เพิ่งเริ่มลงทุน หรืออยากจำกัดวงเงินไม่ให้ตัวเองเผลอซื้อเกินตัว บัญชี Cash Balance ก็เป็นตัวเลือกที่ดีครับ

แต่ถ้าคิดจะเข้าไปเก็งกำไรใน “หุ้นติด Cash Balance” ล่ะก็ ต้องบอกเลยว่ามีความเสี่ยงสูงมากครับ เพราะเป็นหุ้นที่มีการซื้อขายร้อนแรงผิดปกติ การซื้อขายด้วยบัญชี Cash Balance เพียงอย่างเดียวไม่ได้แปลว่าปลอดภัยนะครับ แค่เป็นการบังคับให้ใช้เงินสดเต็มจำนวน ไม่ให้ใช้มาร์จิ้นหรือวงเงิน T+2 มาช่วยเพิ่มอำนาจซื้อเฉยๆ ครับ ตัวหุ้นเองยังมีความผันผวนสูงอยู่ดี

**⚠️ คำแนะนำส่งท้าย:** ก่อนตัดสินใจเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น ควรศึกษาข้อมูลประเภทบัญชีแต่ละแบบให้ละเอียด เลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ มีระบบและเครื่องมือที่ใช้งานง่าย และถ้าคิดจะลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง หรือหุ้นที่ติดมาตรการกำกับดูแลต่างๆ ควรศึกษาข้อมูลของบริษัทนั้นๆ อย่างรอบด้าน ไม่ใช่แค่ราคาหุ้นที่วิ่งแรงๆ ครับ และที่สำคัญที่สุดคือ “ลงทุนด้วยเงินเย็น” คือเงินที่เราไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เราสามารถถือหุ้นรอคอยผลตอบแทนได้ ไม่ต้องรีบขายเพราะร้อนเงินครับ ตลาดหุ้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ