
เพื่อนๆ นักลงทุน หรือใครที่กำลังมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างความมั่งคั่งในยุคนี้ สงสัยกันไหมครับว่า ตลาดหุ้นที่ฮอตฮิตระดับโลกอย่างตลาดหุ้นอเมริกาเนี่ย เขาเปิดทำการกันกี่โมงกันแน่? ทำไมเราถึงเห็นข่าวผลตอบแทนหวือหวาของหุ้น Apple, Google, Tesla หรือ Amazon อยู่ตลอดเวลา บางทีเรานอนหลับไป ตื่นเช้ามาอีกที ตลาดที่นู่นก็ปิดไปแล้ว แล้วเราจะตามเทรนด์ลงทุนระดับโลกยังไงดี?
ในฐานะคนที่วนเวียนอยู่ในวงการการเงินมานาน ผมขอบอกเลยว่าตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะตลาด NASDAQ ที่เป็นแหล่งรวมบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกนั้น มีเสน่ห์ดึงดูดเงินลงทุนจากทั่วทุกมุมโลกจริงๆ ครับ ด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจอเมริกาที่มีแนวโน้มฟื้นตัวค่อนข้างชัดเจน แม้ว่าจะมีเรื่องการลดมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องอย่าง QE เข้ามาบ้าง แต่เขาก็บอกว่าจะทำก็ต่อเมื่อตัวเลขเศรษฐกิจแข็งแกร่งมั่นคงจริงๆ ซึ่งหมายความว่านโยบายการเงินโดยรวมยังค่อนข้างผ่อนคลายอยู่ จุดนี้เองที่ทำให้นักลงทุนหลายคนคาดหวังว่า จะได้รับผลตอบแทนที่ดีจากราคาหุ้นที่อาจจะปรับตัวสูงขึ้น แถมค่าเงินดอลลาร์สหรัฐก็มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นด้วยนะ
ทีนี้มาถึงคำถามคาใจของนักลงทุนชาวไทยอย่างเราๆ ครับว่า ตลาดหุ้นอเมริกา เปิดกี่โมง กันแน่ ถ้าเทียบกับเวลาบ้านเรา? ต้องเข้าใจก่อนว่า เวลาทำการของตลาดหุ้นทั่วโลกมันเหลื่อมกันไปมา ยิ่งเป็นคนละซีกโลกแบบเรากับอเมริกา เวลาก็จะตรงกันข้ามเลยครับ และสิ่งที่ต้องจำให้แม่นคือ ตลาดหุ้นอเมริกามีการปรับเวลาตามฤดูกาลที่เรียกว่า Daylight Saving Time ครับ
* **ช่วงฤดูหนาว (ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนมีนาคม):** ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเปิดเวลา 21:30 น. (สามทุ่มครึ่ง) ของประเทศไทย และปิดทำการเวลา 04:00 น. (ตีสี่) ของวันรุ่งขึ้น
* **ช่วงฤดูร้อน (ประมาณต้นเดือนมีนาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน):** ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเปิดเร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมง นั่นคือ เปิดเวลา 20:30 น. (สองทุ่มครึ่ง) ของประเทศไทย และปิดทำการเวลา 03:00 น. (ตีสาม) ของวันรุ่งขึ้น

สรุปง่ายๆ คือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เขาเปิดซื้อขายวันละ 6 ชั่วโมง 30 นาที โดยไม่มีพักเที่ยงเหมือนตลาดหุ้นบ้านเรา หรือตลาดในแถบเอเชียเลยนะครับ ที่น่าสนใจคือ ช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดทำการนี่แหละครับ ที่มักจะเป็นช่วงที่ตลาดฟอเร็กซ์และตลาดหุ้นหลักๆ ทั่วโลกมีความเคลื่อนไหวคึกคัก เพราะเป็นช่วงเวลาที่ตลาดสำคัญๆ เช่น ตลาดลอนดอน และตลาดนิวยอร์ก เปิดทำการพร้อมกัน ถือเป็น “Golden Hours” ของการเทรดเลยก็ว่าได้
แล้วนอกจากเรื่องเวลาเปิด-ปิด ตลาดหุ้นอเมริกามีอะไรที่เราควรรู้เพิ่มอีกบ้าง? ตลาดหลักๆ ก็มี NASDAQ ที่เน้นหุ้นเทคโนโลยีและบริษัทเติบโตสูง กับ NYSE ที่เป็นตลาดเก่าแก่กว่า มีบริษัทใหญ่ๆ หลากหลายอุตสาหกรรม ใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ในการซื้อขายครับ หน่วยซื้อขายขั้นต่ำ หรือที่เรียกว่า Board Lot ก็เริ่มต้นแค่ 1 หุ้นเท่านั้น ซึ่งทำให้การลงทุนเข้าถึงได้ง่ายกว่าตลาดหุ้นบางแห่ง ดัชนีหลักๆ ที่เรามักจะอ้างอิงเพื่อดูภาพรวมตลาดก็มีหลายตัวครับ เช่น Dow Jones Industrial Average (DOW) ที่เป็นดัชนีของ 30 บริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่, NASDAQ Composite ที่รวมหุ้นทั้งหมดในตลาด NASDAQ, หรือ Standard & Poor 500 (S&P 500) ที่เป็นดัชนีของ 500 บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นตัวแทนภาพรวมเศรษฐกิจได้ดี การชำระราคาหุ้นก็ใช้เวลา T+3 ครับ (ซื้อวันนี้ ชำระราคาในอีก 3 วันทำการ)
ถ้าลองเอาเวลาทำการของตลาดหุ้นอเมริกาไปเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชียที่เราคุ้นเคยอย่าง ตลาดหุ้นไทย (SET) ที่เปิด 10:00 – 16:30 น. (มีพักเที่ยง) หรือตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นฮ่องกง ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่เปิดช่วงเช้าและบ่ายของไทย ก็จะเห็นความแตกต่างชัดเจนเลยครับ แปลว่าถ้าเราอยากลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกา เราต้องพร้อมที่จะตื่นมาดูราคา หรือส่งคำสั่งซื้อขายในช่วงกลางคืนถึงเช้ามืดของไทย ซึ่งเป็นความท้าทายเรื่องเวลาสำหรับนักลงทุนไทยเหมือนกัน
การซื้อขายหุ้นในตลาดอเมริกาก็มีค่าใช้จ่ายเหมือนกันครับ ไม่ใช่แค่ค่าหุ้นอย่างเดียว จะมีค่าธรรมเนียมต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ค่านายหน้าซื้อขาย (Commission Fee) ซึ่งแต่ละโบรกเกอร์หรือแต่ละแพลตฟอร์มก็คิดไม่เหมือนกัน บางแห่งอาจคิดเป็นเซ็นต์ต่อหุ้น บางแห่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าซื้อขาย นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่ตลาดเรียกเก็บ เช่น SEC Fee (คิดจากมูลค่าการขาย) และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากค่าธรรมเนียมทั้งหมดด้วย ยกตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มอย่าง Dime! เขาก็มีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันไป บางทีก็มีโปรโมชั่นยกเว้นค่าคอมมิชชันสำหรับรายการแรกของเดือนด้วยนะ ส่วนค่าธรรมเนียมตลาดหลักทรัพย์อย่าง SEC Fee หรือ TAF Fee ก็มีเหมือนกัน แต่รายละเอียดอาจต่างไปบ้าง การทำความเข้าใจเรื่องค่าธรรมเนียมก่อนลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญครับ
อีกเรื่องที่นักลงทุนหุ้นอเมริกาควรรู้คือ ปฏิทินวันหยุดของตลาดครับ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีวันหยุดหลายวันตลอดปี เช่น วันปีใหม่ (New Year’s Day), วัน Martin L. King, วัน Presidents’ Day, วัน Good Friday, วัน Memorial Day, วัน Independence Day, วัน Labour Day, วัน Thanksgiving, วัน Christmas Day เป็นต้น เราต้องคอยตรวจสอบปฏิทินนี้ให้ดี จะได้ไม่พลาดโอกาสหรือวางแผนผิดครับ

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาหุ้นและบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็หนีไม่พ้นเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนครับ โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่หลายคนรู้จักกันดีอย่าง Amazon, Meta, Alphabet หรือ Tesla ช่วงที่บริษัทเหล่านี้ประกาศผลประกอบการ จะเป็นช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงและได้รับความสนใจเป็นพิเศษ อย่างช่วงต้นปี 2023 ที่ผ่านมา Tesla ก็เคยรายงานผลประกอบการที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก แถมยังทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งข่าวดีแบบนี้ก็ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและสินค้าฟุ่มเฟือยให้คึกคักขึ้นได้เลยครับ
สำหรับนักลงทุนชาวไทยที่อยากจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของตลาดหุ้นอเมริกา ไม่ต้องบินไปเปิดบัญชีถึงนิวยอร์กนะครับ ปัจจุบันมีช่องทางที่หลากหลายและสะดวกสบายขึ้นมากครับ เราสามารถเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศกับบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยหลายแห่งได้เลย เช่น บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ที่เขามีระบบรองรับการซื้อขายหุ้นต่างประเทศโดยเฉพาะ หรือจะใช้แพลตฟอร์มลงทุนดิจิทัลที่ใช้งานง่ายอย่างแอปพลิเคชัน Dime! ก็ได้ครับ แพลตฟอร์มพวกนี้มักจะมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เช่น การลงทุนแบบไม่เต็มหุ้น (Fractional Shares) ที่ให้เราเริ่มลงทุนในหุ้นแพงๆ อย่าง Apple หรือ Google ได้ด้วยเงินจำนวนน้อยๆ อาจจะเริ่มต้นแค่ 50 บาท หรือ 1.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ได้ แถมบางแพลตฟอร์มยังมีบริการแลกเงินบาทเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ ให้โดยอัตโนมัติ หรือมีฟีเจอร์ DCA (Dollar Cost Averaging) ให้เราตั้งลงทุนแบบสม่ำเสมอได้ด้วย เงินลงทุนของเราที่ผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับใบอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแล เช่น จากสำนักงาน ก.ล.ต. ของไทย หรือหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ อย่าง FINRA ก็จะมีความคุ้มครองผู้ลงทุนตามกฎหมายด้วยนะครับ
สรุปแล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาน่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ ทั้งในแง่โอกาสการเติบโต นวัตกรรม และขนาดของตลาด แต่สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจและวางแผนให้ดีก็คือเรื่องของ “เวลา” นั่นเองครับ การรู้ว่า ตลาดหุ้นอเมริกา เปิดกี่โมง และปรับเปลี่ยนยังไงตามฤดูกาล จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการซื้อขาย ติดตามข่าวสาร หรือบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ
**⚠️ ข้อควรระวัง:** การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศมีความเสี่ยง ทั้งจากความผันผวนของราคาหุ้นเอง ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และความเสี่ยงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสภาพคล่อง หรือกฎเกณฑ์ของแต่ละตลาด การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และควรประเมินความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตัวเองเสมอ หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินนะครับ