เจาะลึก! สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น มีอะไรบ้าง? ไขความลับงบการเงินที่คุณอาจมองข้าม

สวัสดีครับ/ค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามคอลัมน์การเงินฉบับเข้าใจง่าย สไตล์เพื่อนเล่าให้ฟัง!

ช่วงนี้หลายคนคงได้ยินคำว่า “งบการเงิน” กันบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาดูข่าวหุ้น หรือเวลาที่เจ้าของธุรกิจต้องยื่นเอกสารต่างๆ งบการเงินเนี่ยเปรียบเสมือนสมุดพกพาประจำตัวของธุรกิจเลยครับ/ค่ะ ที่บอกเล่าเรื่องราวสุขภาพทางการเงิน ว่ามีอะไรบ้าง เป็นหนี้เท่าไหร่ และเจ้าของมีส่วนร่วมเท่าไหร่ ซึ่งส่วนประกอบหลักๆ ก็จะมี “สินทรัพย์” (Asset) “หนี้สิน” (Liability) และ “ส่วนของเจ้าของ” (Owner’s Equity)

วันนี้เราจะมาเจาะลึกที่ “สินทรัพย์” กันครับ/ค่ะ ลองนึกภาพง่ายๆ สินทรัพย์ก็เหมือนข้าวของหรือสิ่งที่มีค่าที่เราครอบครอง หรือควบคุมอยู่ แล้วคาดว่าในอนาคตมันจะสร้างประโยชน์ สร้างเงิน สร้างกำไร ให้เราได้ ไม่ว่าจะเป็นของที่มีตัวตนอย่างบ้าน รถยนต์ เงินสด หรือของที่ไม่มีตัวตนแต่มีค่า เช่น สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ หรือแม้แต่สิทธิ์ที่เราจะได้เงินจากคนอื่นในอนาคต สิ่งเหล่านี้ล้วนเรียกว่าสินทรัพย์ทั้งสิ้น ซึ่งตามหลักการบัญชีแล้ว สินทรัพย์เนี่ยไม่ได้มีแค่ประเภทเดียว แต่มีการแบ่งกลุ่มตาม “สภาพคล่อง” หรือความง่ายในการเปลี่ยนเป็นเงินสด หรือการนำไปใช้ประโยชน์ในระยะเวลาอันสั้นครับ/ค่ะ

หัวใจสำคัญของการแบ่งประเภทสินทรัพย์อยู่ที่กรอบเวลา 1 ปี หรือรอบระยะเวลาการดำเนินงานปกติของธุรกิจ (แล้วแต่ว่าอันไหนจะยาวกว่า) ถ้าสินทรัพย์ชิ้นไหนที่เราคาดว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสด หรือนำไปใช้ประโยชน์หมดไป ภายใน 1 ปี (หรือรอบฯ) เนี่ย เราจะจัดให้อยู่ในกลุ่ม “สินทรัพย์หมุนเวียน” (Current Assets) ครับ/ค่ะ แต่ถ้าเป็นสินทรัพย์ที่ถือครองไว้นานๆ เกิน 1 ปี เช่น ตึก ที่ดิน เครื่องจักร หรือเงินลงทุนระยะยาว อันนั้นก็จะไปอยู่ในกลุ่ม “สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน” (Non-Current Assets) แทน

ทำไมเราต้องแยกสองกลุ่มนี้? ก็เพราะมันบอกสุขภาพระยะสั้นและระยะยาวของธุรกิจได้ชัดเจนไงครับ/ค่ะ สินทรัพย์หมุนเวียนเนี่ยสำคัญมากๆ เพราะมันคือตัวบ่งชี้ “สภาพคล่อง” ของกิจการ พูดง่ายๆ คือเป็นเหมือนเงินสดและสิ่งที่พร้อมจะกลายเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเงินพวกนี้แหละที่ธุรกิจต้องใช้หมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน จ่ายเงินเดือนพนักงาน จ่ายค่าสินค้าให้ซัพพลายเออร์ หรือเอาไว้รับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เหมือนกับเงินสดในกระเป๋าที่เราเอาไว้ใช้จ่ายจิปาถะในชีวิตประจำวันนั่นแหละครับ/ค่ะ บริษัทที่มีสินทรัพย์หมุนเวียนเพียงพอ มักจะดำเนินงานได้อย่างราบรื่น ไม่สะดุด มีความยืดหยุ่นสูง โดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจไม่แน่นอนครับ

ทีนี้ มาดูกันว่าไอ้เจ้า “สินทรัพย์หมุนเวียน” ที่ว่าเนี่ย มันมีอะไรบ้าง รายการหลักๆ ที่เรามักจะเห็นกันบ่อยๆ ในงบดุล (หรือ Balance Sheet) ก็จะมีอยู่หลายตัวครับ/ค่ะ

ตัวแรกที่ชัดเจนที่สุดก็คือ **เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด** ก็คือเงินสดๆ ในมือ เงินฝากในธนาคารที่ถอนได้ทันที ไม่มีเงื่อนไข หรือเงินลงทุนที่มีสภาพคล่องสูงมากๆ ครบกำหนดใน 3 เดือนหรือน้อยกว่า พวกนี้คือเงินที่พร้อมใช้ 100% ครับ/ค่ะ

ถัดมาก็คือ **เงินลงทุนระยะสั้น หรือ เงินลงทุนชั่วคราว** อันนี้เป็นเงินที่บริษัทเอาไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ คาดว่าจะขายคืนหรือครบกำหนดภายใน 1 ปี เช่น ซื้อกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น หรือหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดเร็วๆ นี้ เพื่อหวังดอกผลหรือกำไรเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้เต็มที่

อีกตัวที่สำคัญมากๆ คือ **ลูกหนี้การค้าและลูกหนี้อื่น** อันนี้คือสิทธิ์ที่บริษัทจะได้รับเงินจากคนอื่นครับ ถ้าเป็น **ลูกหนี้การค้า** ก็คือเงินที่ลูกค้ายังไม่ได้จ่ายค่าสินค้าหรือบริการให้เรานั่นเองครับ ส่วน **ลูกหนี้อื่น** ก็จะเป็นรายการอื่นๆ ที่ไม่ใช่การค้า เช่น เงินที่พนักงานยืมไป (เงินทดรองจ่าย) หรือเงินที่บริษัทให้คนอื่นกู้ยืมแบบระยะสั้นๆ คาดว่าจะได้คืนภายใน 1 ปี ซึ่งตามหลักการบัญชี และที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนด ลูกหนี้เหล่านี้ก็ถือเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนครับ

นอกจากลูกหนี้แล้ว ยังมี **ตั๋วเงินรับ** ซึ่งก็คล้ายๆ ลูกหนี้ครับ แต่มีเอกสารเป็นตั๋วสัญญาว่าจะจ่ายเงินคืนให้เราภายในเวลาที่กำหนด ส่วนใหญ่ก็ไม่เกิน 1 ปีเช่นกัน

แล้วก็มีสินทรัพย์ที่จับต้องได้ อย่าง **สินค้าคงคลัง** ครับ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตสินค้า ตัวสินค้าที่กำลังผลิต (งานระหว่างทำ) หรือสินค้าที่ผลิตเสร็จพร้อมขาย (สินค้าสำเร็จรูป) สิ่งเหล่านี้มีไว้เพื่อขายและทำกำไรในรอบการดำเนินงานปกติ จึงจัดเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนครับ แม้จะยังไม่เป็นเงินสดตอนนี้ แต่ก็คาดว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ผ่านการขายนั่นเองครับ (แต่การมีสินค้าคงคลังเยอะเกินไปก็อาจเป็นสัญญาณว่าขายไม่ค่อยออกนะ ต้องพิจารณาดีๆ)

ทีนี้ มาถึงพระเอกของเราในวันนี้ครับ! นอกจากรายการหลักๆ ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีสินทรัพย์หมุนเวียนอีกกลุ่มหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้าม หรือไม่รู้ว่ามันคืออะไร ซึ่งงบการเงินมักจะแสดงรวมๆ ไว้ในบรรทัดที่ชื่อว่า **สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น** ครับ แล้วไอ้เจ้า **สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น มีอะไรบ้าง** ล่ะ? มันคือสินทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์เป็นสินทรัพย์หมุนเวียน (คือคาดว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสดหรือใช้ประโยชน์ภายใน 1 ปี/รอบฯ) แต่ไม่ได้จัดอยู่ในหมวดหมู่หลักๆ ข้างต้นครับ

ตัวอย่างของรายการที่มักจะพบใน “สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น” ได้แก่:

1. **ค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้า:** อันนี้เจอบ่อยครับ คือเงินที่เราจ่ายออกไปก่อน เพื่อจะได้รับประโยชน์ในอนาคต ซึ่งประโยชน์นั้นจะหมดไปภายใน 1 ปี เช่น ค่าเบี้ยประกันที่จ่ายล่วงหน้า ค่าเช่าที่จ่ายล่วงหน้าสำหรับงวดที่จะถึงในอีกไม่กี่เดือน พวกนี้ไม่ใช่เงินสดแล้วก็จริง แต่ถือเป็นสิทธิ์ที่จะได้รับบริการหรือประโยชน์ ซึ่งจะถูกแปลงเป็นค่าใช้จ่ายเมื่อถึงเวลาครับ
2. **รายได้ค้างรับ:** คือรายได้ที่เกิดขึ้นแล้ว (เราให้บริการหรือส่งมอบสินค้าแล้ว) แต่เรายังไม่ได้รับเงินในตอนนี้ คาดว่าจะได้รับในอนาคตอันใกล้ (ภายใน 1 ปี) เช่น ดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารยังไม่จ่ายให้ในงวดนี้ แต่เรามีสิทธิ์ได้รับแน่นอน หรือค่าเช่าที่ถึงกำหนดรับแล้วแต่ผู้เช่ายังไม่จ่าย รายการนี้บางครั้งก็ถูกจัดไปอยู่ในกลุ่มลูกหนี้อื่นนะครับ ขึ้นอยู่กับการตีความและมาตรฐานการบัญชีที่ใช้ แต่หลักๆ คือเป็นรายได้ที่คาดว่าจะได้เงินภายใน 1 ปี
3. **วัสดุสำนักงาน:** อันนี้อาจจะดูเล็กน้อย แต่สำหรับบางธุรกิจที่มีการใช้วัสดุสำนักงานจำนวนมาก เช่น กระดาษ ปากกา หมึกพิมพ์ ที่ซื้อมาตุนไว้ แล้วคาดว่าจะใช้หมดภายใน 1 ปี วัสดุพวกนี้ก็ถือเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนอย่างหนึ่งครับ แม้สุดท้ายจะกลายเป็นค่าใช้จ่ายไป แต่ ณ วันที่ซื้อมา ยังไม่ได้ใช้ ก็ถือเป็นสินทรัพย์ ซึ่งตามประกาศของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สินทรัพย์ประเภทนี้ก็มักจะรวมอยู่ในหมวด “สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น” ครับ
4. **เงินฝากธนาคารที่มีภาระค้ำประกัน:** โดยปกติเงินฝากธนาคารคือเงินสด แต่ถ้าเป็นเงินฝากที่มีข้อจำกัดในการถอน เช่น ต้องนำไปค้ำประกันอะไรบางอย่าง หากข้อจำกัดนั้นจะหมดไปภายใน 1 ปี หรือเงินฝากนั้นสามารถเบิกถอนได้ภายใน 1 ปีตามเงื่อนไข ก็อาจจัดอยู่ในกลุ่มสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นได้ครับ แต่ถ้าถอนไม่ได้นานๆ ก็จะไปอยู่สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนแทน
5. **สินทรัพย์ภาษีเงินได้ของงวดปัจจุบัน:** อันนี้ค่อนข้างเทคนิค เป็นภาษีเงินได้ที่กิจการจ่ายเกินไป หรือขอคืนได้ตามหลักการบัญชีภาษีเงินได้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับคืนภายใน 1 ปีครับ
6. รายการอื่นๆ ที่เข้าข่าย เช่น เงินประกันต่างๆ ที่วางไว้และคาดว่าจะได้รับคืนภายใน 1 ปี เป็นต้นครับ

จะเห็นว่า “สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น” ไม่ใช่รายการที่แปลกประหลาดอะไร แต่เป็นการรวบรวมรายการที่เข้าเกณฑ์สินทรัพย์หมุนเวียนแต่ไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่หลักๆ เพื่อให้งบการเงินดูเป็นระเบียบมากขึ้นครับ

สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ การดูสินทรัพย์หมุนเวียนทั้งหมด รวมถึงรายการย่อยอย่าง **สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น มีอะไรบ้าง** เนี่ย สำคัญมากๆ ครับ เพราะมันช่วยให้เราประเมินความสามารถของบริษัทในการชำระหนี้ระยะสั้นๆ ได้ (ดูจากอัตราส่วนสภาพคล่อง) และยังบอกแนวโน้มการดำเนินงานในอนาคตอันใกล้ได้ด้วยครับ

ยกตัวอย่างง่ายๆ ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ อย่างที่เราเห็นในปี 2008 บริษัทที่มีสภาพคล่องดี มีเงินสดหรือสินทรัพย์หมุนเวียนที่พร้อมใช้ในสัดส่วนที่สูง มักจะเอาตัวรอดได้ดีกว่า หรือฟื้นตัวได้เร็วกว่าบริษัทที่สภาพคล่องตึงมือครับ เพราะมีเงินทุนหมุนเวียนใช้จ่าย ซื้อวัตถุดิบ หรือจ่ายเงินเดือนได้ ไม่ต้องไปกู้ยืมในสถานการณ์ที่ดอกเบี้ยสูงหรือกู้ยาก

การดูรายการย่อยๆ ในสินทรัพย์หมุนเวียนก็สำคัญนะครับ เช่น ถ้าเห็นว่ารายการลูกหนี้การค้าสูงขึ้นผิดปกติ อาจต้องสงสัยว่าบริษัทมีปัญหาในการเก็บเงินลูกค้าหรือไม่ หรือถ้าสินค้าคงคลังเพิ่มเยอะๆ ในขณะที่ยอดขายไม่โต ก็อาจแปลว่าบริษัทผลิตออกมาแล้วขายไม่ได้ หรือบริหารสต็อกไม่ดี สิ่งเหล่านี้บอกสุขภาพภายในของธุรกิจได้ดีทีเดียวครับ

แน่นอนว่า การมีสินทรัพย์หมุนเวียนสูงก็ไม่ได้แปลว่าจะดีเสมอไปนะครับ บางครั้งการมีเงินสดเยอะเกินไป อาจหมายถึงบริษัทไม่ได้นำเงินไปลงทุนเพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างเต็มที่ หรือการมีลูกหนี้เยอะก็อาจหมายถึงความเสี่ยงหนี้เสียที่สูงขึ้น การมีสินค้าคงคลังเยอะก็มีต้นทุนในการเก็บรักษาและเสี่ยงต่อการล้าสมัย ดังนั้น เราต้องดูสัดส่วนและองค์ประกอบทั้งหมด รวมถึงเทียบกับขนาดของธุรกิจและอุตสาหกรรมด้วยครับ

สรุปแล้ว สินทรัพย์หมุนเวียน รวมถึง **สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น มีอะไรบ้าง** เป็นส่วนสำคัญในงบการเงินที่บอกเล่าเรื่องราวสภาพคล่องและความแข็งแกร่งทางการเงินระยะสั้นของกิจการครับ การทำความเข้าใจรายการเหล่านี้ ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมสุขภาพของธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของกิจการที่ต้องบริหารเงินทุน หรือเป็นนักลงทุนที่กำลังมองหาหุ้นดีๆ เข้าพอร์ต การเปิดงบดุลดูรายการสินทรัพย์หมุนเวียน จะเป็นก้าวแรกที่ดีในการวิเคราะห์และตัดสินใจครับ

⚠️ **ข้อควรระวัง:** ข้อมูลในงบการเงินเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ทั้งหมดนะครับ ควรพิจารณาร่วมกับงบการเงินอื่นๆ เช่น งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและสภาวะตลาด เพื่อให้การตัดสินใจของคุณรอบด้านและถูกต้องที่สุดครับ อย่าเพิ่งตัดสินใจลงทุนจากข้อมูลเพียงด้านเดียวเด็ดขาดนะครับ!

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เรื่องการเงินที่ดูซับซ้อน กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าใจง่ายขึ้นนะครับ ไว้เจอกันใหม่ในบทความหน้าครับ!