
เพื่อนผมคนนึงเคยถามว่า “เฮ้ย รู้จัก Tesla ไหม ที่รถยนต์ไฟฟ้าเท่ๆ ของ Elon Musk อ่ะ การเงินของ tsla มันเป็นไงบ้าง น่าซื้อไหม?” คำถามนี้ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า หลายคนรู้จัก Tesla ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำ แต่เบื้องหลังความหวือหวาของรถยนต์ การเงินของ tsla ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน และนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า แต่มันรวมไปถึงธุรกิจพลังงานด้วย
ลองนึกภาพตามนะครับ Tesla, Inc. เนี่ย ไม่ได้ทำแค่รถยนต์ไฟฟ้าเก๋ๆ อย่าง Model S, Model X, Model 3 หรือ Model Y เท่านั้นนะ เขายังทำระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Panels) กับแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ด้วย พูดง่ายๆ คือแบ่งธุรกิจเป็นสองส่วนหลักๆ ชัดเจนเลย คือส่วน “ยานยนต์” ที่รวมตั้งแต่ขายรถ (ตรงถึงลูกค้าเลยนะ ไม่ผ่านดีลเลอร์แบบทั่วไป), ปล่อยสินเชื่อ, บริการหลังการขาย, สถานีชาร์จ Supercharger หรือแม้กระทั่งประกันภัยรถยนต์ของตัวเอง กับอีกส่วนคือ “การผลิตและจัดเก็บพลังงาน” ที่ทำครบวงจรตั้งแต่ติดตั้ง ขาย หรือให้เช่าระบบโซลาร์และแบตเตอรี่ ทั้งบ้านเรือน อาคารพาณิชย์ หรือแม้แต่ระดับสาธารณูปโภค ฟังดูครบวงจรดีใช่ไหมครับ?
ย้อนกลับไปนิดหนึ่ง Tesla ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2546 โน่นแน่ะ เริ่มต้นโดยกลุ่มวิศวกรไฟแรง แต่คนที่เข้ามามีบทบาทสำคัญมากๆ จนกลายเป็นที่รู้จักทั่วโลกก็คือ Elon Musk ที่เข้ามาร่วมวงในปี 2547 เดิมชื่อ Tesla Motors แต่ก็เปลี่ยนเป็น Tesla, Inc. ในปี 2560 เพื่อสะท้อนว่าไม่ได้ทำแค่รถอย่างเดียวแล้ว สำนักงานใหญ่อยู่ที่ออสติน รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เข้าตลาดหุ้น Nasdaq ในปี 2553 ด้วยราคา IPO ที่ 17 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น ลองคิดดูสิว่าถ้าซื้อตอนนั้นแล้วถือมาถึงตอนนี้จะเป็นยังไง! นี่คือเรื่องราวคร่าวๆ ที่ทำให้เราเห็นภาพรวมของบริษัทนี้ก่อนจะไปเจาะลึก การเงินของ tsla นะครับ
ทีนี้มาดูเรื่องเงินๆ ทองๆ หรือ การเงินของ tsla กันบ้าง นี่คือหัวใจสำคัญที่เราจะใช้ประเมินบริษัทนี้ หลายปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 2563 ถึง 2567) Tesla แสดงตัวเลขที่น่าทึ่งมากๆ รายได้รวมเติบโตจากประมาณ 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พุ่งไปเกือบ 9.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2567 กำไรสุทธิก็วิ่งตาม จาก 690 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปเป็น 7.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กำไรต่อหุ้นพื้นฐาน (หรือ EPS) ก็เพิ่มขึ้นจาก 0.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 2.23 ดอลลาร์สหรัฐฯ นี่มันคือบริษัทที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดดชัดๆ ดูจากงบแสดงฐานะการเงิน สินทรัพย์รวมก็เพิ่มขึ้น ส่วนของผู้ถือหุ้นก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าบริษัทแข็งแกร่งขึ้นในเชิงโครงสร้าง

แต่ชีวิตมันไม่ได้ราบรื่นเสมอไปใช่ไหมครับ เหมือนเวลาเราขับรถบนทางด่วนเรียบๆ อยู่ดีๆ ก็เจอทางขรุขระ การเงินของ tsla ก็เจอทางขรุขระในไตรมาสล่าสุด (ไตรมาส 1 ปี 2568) รายได้รวมอยู่ที่ 1.93 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งลดลงเกือบ 25% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเลยนะ! กำไรสุทธิก็เหลือ 409 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น นี่เป็นจุดที่นักลงทุนเริ่มขมวดคิ้ว เกิดอะไรขึ้น? ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอิ่มตัวแล้วเหรอ? หรือคู่แข่งอย่าง BYD หรือบริษัทรถยนต์ดั้งเดิมอย่าง Ford, GM ที่เริ่มขยับตัวแรงขึ้นกำลังเข้ามาแย่งส่วนแบ่ง? นี่คือสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
เรื่องของ “กระแสเงินสด” ก็เป็นอีกมุมที่น่ามอง การเงินของ tsla มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เติบโตดีนะ แสดงว่าธุรกิจหลักสร้างเงินสดเข้ามาเรื่อยๆ แต่พอดู “กระแสเงินสดอิสระ” (Free Cash Flow หรือเงินสดที่เหลือจากการทำธุรกิจแล้วเอาไปลงทุนขยายกิจการต่างๆ แล้ว) ตัวเลขมันจะผันผวนหน่อยๆ บางปีสูง บางปีต่ำ นี่อาจจะบอกใบ้ว่าบริษัทกำลังทุ่มเงินลงทุนกับการขยายโรงงาน วิจัยพัฒนา หรือสร้างสถานีชาร์จเยอะมาก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของบริษัทที่กำลังเติบโต แต่เราต้องดูให้ดีว่าเงินลงทุนพวกนี้จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคตได้จริงไหม
ทีนี้มาถึงสิ่งที่หลายคนอยากรู้เกี่ยวกับ การเงินของ tsla ในมุมของหุ้น คือมัน “แพง” หรือ “ถูก” ล่ะ? เราต้องมาดู “อัตราส่วนทางการเงิน” กันหน่อย สำหรับหุ้น Tesla เนี่ย ตัวเลขที่เด่นชัดมากๆ คือ อัตราส่วน P/E (Price-to-Earnings Ratio) หรือราคาหุ้นเทียบกับกำไรต่อหุ้น ในช่วงที่ผ่านมา ตัวเลขนี้สูงปรี๊ดเลยครับ ประมาณ 140-150 เท่า! มันหมายความว่าอะไร? ง่ายๆ คือ นักลงทุนยอมจ่ายเงินถึง 140-150 เท่าของกำไรต่อหุ้น เพื่อที่จะได้เป็นเจ้าของหุ้น Tesla ซึ่งถือว่า “แพงมากๆ” เมื่อเทียบกับบริษัททั่วไปในอุตสาหกรรมอื่น หรือแม้แต่กับคู่แข่งบางราย ตัวเลข P/BV (ราคาหุ้นเทียบกับมูลค่าตามบัญชี) ก็สูงเช่นกัน นี่สะท้อนความคาดหวังของตลาดว่า Tesla จะต้องเติบโตได้อีก “มหาศาล” ในอนาคต ถึงจะ justify (สมเหตุสมผล) กับราคาหุ้นตอนนี้ได้
แต่ก็มีตัวเลขดีๆ อย่างอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt/Equity) ที่ต่ำมากๆ ประมาณ 0.14 ซึ่งบอกว่า การเงินของ tsla ไม่ได้พึ่งพาหนี้สินเยอะ โครงสร้างทางการเงินแข็งแรงดีในแง่นี้ ส่วนอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ก็อยู่ที่ประมาณ 8-10% ซึ่งก็พอใช้ได้ แต่ไม่ได้สูงโดดเด่นเท่า P/E หรือ P/BV
มาพูดถึงความผันผวนของหุ้น TSLA กันบ้าง หลายคนคงเคยเห็นราคาหุ้นวิ่งขึ้นลงแรงๆ ตัวเลขที่เรียกว่า “Beta” ของหุ้น Tesla อยู่ที่ประมาณ 2.3 ซึ่งหมายความว่า ถ้าตลาดหุ้นโดยรวม (เช่น ดัชนี S&P 500) ขึ้นหรือลง 1% หุ้น Tesla มีแนวโน้มที่จะขึ้นหรือลงถึง 2.3% เลยทีเดียว นั่นคือ สาเหตุที่เราเห็นราคาหุ้น Tesla ในรอบ 52 สัปดาห์วิ่งจากประมาณ 160 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไปถึงเกือบ 490 ดอลลาร์สหรัฐฯ แล้วก็ลงมาอีก มันขึ้นแรงลงแรง ใครที่ชอบความหวือหวาอาจจะชอบ แต่ใครที่ใจไม่แข็งพอ อาจจะเวียนหัวได้ง่ายๆ
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้หุ้น Tesla ผันผวนมากๆ นอกจากเรื่องธุรกิจและผลประกอบการแล้ว ต้องยอมรับว่า “ปัจจัย Elon Musk” มีผลอย่างยิ่ง การทวีตหรือการกระทำต่างๆ ของเขามักจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นทันที เหมือนมีคนคอยกดปุ่มให้หุ้นวิ่งขึ้นหรือลงตามอารมณ์หรือข่าวที่ออกมาจากตัวเขาโดยตรง เรื่องนี้เป็นทั้งเสน่ห์และความเสี่ยงของหุ้นตัวนี้เลยก็ว่าได้

อีกข้อสังเกตคือ การเงินของ tsla ไม่เคยมีการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น และก็ยังไม่มีแผนจะจ่ายด้วย นั่นแสดงว่ากำไรที่ได้มา บริษัทเลือกที่จะนำไปลงทุนต่อยอดธุรกิจทั้งหมด ซึ่งก็สมเหตุสมผลสำหรับบริษัทที่ยังอยู่ในช่วงเติบโตและต้องการขยายกิจการไปทั่วโลก
สำหรับนักลงทุนในประเทศไทยที่สนใจ การเงินของ tsla หรือหุ้น TSLA โดยตรง ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปแล้วนะครับ เพราะมีผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า Depositary Receipt (DR) ที่อ้างอิงหุ้น Tesla (สัญลักษณ์ TSLA80X) ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ด้วย ทำให้เราสามารถลงทุนในหุ้นระดับโลกอย่าง Tesla ได้ง่ายขึ้นผ่านตลาดหุ้นไทย เหมือนเวลาซื้อขายหุ้นไทยทั่วไป
สรุปแล้ว การเงินของ tsla เล่าเรื่องราวของบริษัทที่เติบโตแบบก้าวกระโดด มีธุรกิจที่น่าสนใจทั้งยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงาน แต่ก็กำลังเผชิญความท้าทายและคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนออกมาในตัวเลขผลประกอบการไตรมาสล่าสุด หุ้นของบริษัทถูกประเมินมูลค่าไว้สูงมากจากความคาดหวังในอนาคต มีความผันผวนสูง และปัจจัยจากตัวผู้นำอย่าง Elon Musk ก็มีผลอย่างมีนัยสำคัญ
ถ้าถามว่าน่าลงทุนไหม? อันนี้ต้องบอกว่าไม่มีใครให้คำตอบฟันธงได้ครับ สิ่งสำคัญคือเราต้องทำความเข้าใจ การเงินของ tsla ให้ดีก่อน ไม่ใช่แค่หลงเสน่ห์รถยนต์เท่ๆ เท่านั้น ต้องดูตัวเลขผลประกอบการ รายได้ กำไร กระแสเงินสด อัตราส่วนทางการเงินต่างๆ โดยเฉพาะอัตราส่วน P/E ที่สูงมากๆ นี้ เรายอมรับได้ไหมกับความคาดหวังการเติบโตที่สูงลิ่วนี้
**คำแนะนำสำหรับนักลงทุน:**
1. **ศึกษาให้ลึก:** ทำความเข้าใจธุรกิจทั้งส่วนยานยนต์และพลังงาน ติดตามข่าวสารอุตสาหกรรมและคู่แข่งอย่างสม่ำเสมอ
2. **ดูตัวเลข อย่ามองข้าม:** อย่าดูแค่ราคาหุ้นวิ่งขึ้นวิ่งลง แต่ต้องดูงบการเงิน รายได้ กำไร สภาพคล่อง และอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ที่แสดงถึงสุขภาพ การเงินของ tsla
3. **ระวังความผันผวน:** หุ้น Beta สูงหมายถึงความเสี่ยงสูง ถ้าตลาดลง หุ้นตัวนี้มีโอกาสลงแรงกว่าตลาดมาก พิจารณาความเสี่ยงที่รับได้
4. **เข้าใจปัจจัย Elon Musk:** ยอมรับว่าทัศนคติและกิจกรรมของเขาส่งผลต่อราคาหุ้นได้ เตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่มาจากปัจจัยนี้ด้วย
5. **พิจารณา DR ในไทย:** หากสนใจลงทุนแต่ไม่คุ้นเคยกับการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศ ลองศึกษา DR (TSLA80X) ในตลาดหุ้นไทยดูครับ อาจจะเป็นทางเลือกที่สะดวกกว่า
6. **กระจายความเสี่ยง:** อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปที่หุ้นตัวเดียว ควรแบ่งเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่นๆ หรือหุ้นตัวอื่นด้วย เพื่อลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตลงทุน
⚠️ **ข้อควรระวัง:** การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนอาจได้รับเงินลงทุนคืนไม่ครบจำนวน การลงทุนในหุ้นที่มี P/E สูงมากๆ อย่าง Tesla มีความเสี่ยงสูงที่ราคาอาจปรับตัวลงแรง หากผลการดำเนินงานในอนาคตไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาดหวัง ศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน หากหากมีสภาพคล่องทางการเงินไม่สูงนัก ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนนำเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะเวลาอันใกล้มาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงเช่นนี้ครับ
สำหรับแพลตฟอร์มการลงทุน ปัจจุบันมีหลากหลายให้เลือกครับ อย่างแพลตฟอร์มระดับสากล เช่น Moneta Markets ก็มีบริการที่หลากหลายสำหรับการซื้อขายสินทรัพย์ต่างๆ ซึ่งนักลงทุนก็สามารถศึกษาเปรียบเทียบข้อเสนอและเงื่อนไขต่างๆ ได้ตามความเหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของตัวเองครับ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ความรู้” และ “ความเข้าใจ” ใน การเงินของ tsla และธุรกิจของบริษัทก่อนตัดสินใจครับ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีความสุขและมีสติครับ!