เคยสงสัยไหมครับว่าเวลาดูข่าวหุ้น หรือเห็นเพื่อนๆ คุยกันเรื่องหุ้น มักจะมีรูปกราฟเส้นหยึกหยักๆ เต็มไปหมด แล้วไอ้เส้นๆ พวกนั้นมันบอกอะไรเราได้บ้าง? สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้ามาในโลกตลาดหุ้นไทย การ อ่านกราฟหุ้น (Graph Hun) เนี่ยแหละคือเหมือนการเรียนรู้ภาษาสากลของตลาดเลยครับ เพราะกราฟมันคือการบันทึกเรื่องราวการเดินทางของราคาหุ้นแต่ละตัวนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าเราอ่านเป็น เราก็จะพอเดาได้ว่า “ประวัติศาสตร์” ที่ผ่านมามันกำลังบอกใบ้อะไรเราเกี่ยวกับ “อนาคต” ที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ลองนึกภาพง่ายๆ กราฟหุ้น ก็เหมือนแผนที่นำทางที่แสดงการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นตัวนั้นๆ บนแผนที่นี้จะมีสองแกนหลักๆ แกนนอนคือ “เวลา” บอกว่าเหตุการณ์ราคาเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ส่วนแกนตั้งคือ “ราคา” บอกว่าช่วงเวลานั้นๆ หุ้นมีราคาอยู่ที่เท่าไหร่ แผนที่นี้ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนขึ้น วางแผนการซื้อขายได้ง่ายขึ้น แทนที่จะซื้อขายตามอารมณ์หรือฟังข่าวลืออย่างเดียวครับ การ อ่านกราฟหุ้น อย่างเข้าใจ จะช่วยให้เรามีหลักการในการตัดสินใจมากขึ้นเยอะเลย
แล้วบนแผนที่ราคาหุ้นนี้ เราจะเห็นอะไรบ้าง? ที่นิยมที่สุดคือ กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์บอกเล่าเรื่องราวราคาในช่วงเวลาที่เราเลือกดู เช่น ถ้าดูกราฟรายวัน แท่งเทียนหนึ่งแท่งก็จะบอกข้อมูลราคาในวันนั้นครบเลย ทั้งราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด ซึ่งรูปร่างของแท่งเทียนนี่แหละที่บอกเราว่าวันนั้นแรงซื้อหรือแรงขายใครแข็งแกร่งกว่ากัน นอกจากแท่งเทียนแล้ว สิ่งที่สำคัญมากๆ ที่มักจะอยู่คู่กับกราฟราคาเสมอคือ ปริมาณการซื้อขาย หรือที่เรียกกันว่า Volume ครับ ปริมาณการซื้อขายที่สูงๆ เวลาที่ราคาวิ่งขึ้นหรือลงแรงๆ มักจะยืนยันความแข็งแกร่งของเทรนด์นั้นๆ ได้ดี

พอเราดูกราฟเป็น เราก็จะเริ่มมองเห็น “แนวโน้ม” ของราคาหุ้นได้ ซึ่งมีหลักๆ อยู่ 3 แบบครับ แบบแรกคือ แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อันนี้แหละที่นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบ เพราะราคามันวิ่งขึ้นเรื่อยๆ สังเกตง่ายๆ คือราคาจะทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher High) และจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้นตามไปด้วย (Higher Low) เปรียบง่ายๆ เหมือนเดินขึ้นบันไดนั่นแหละครับ ขั้นบันไดแต่ละขั้นจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเจอแบบนี้ ส่วนใหญ่ก็จะมองหาจังหวะ “ซื้อ” ครับ
ตรงข้ามกับขาขึ้น ก็คือ แนวโน้มขาลง (Downtrend) อันนี้เป็นขาที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่อยากเจอครับ เพราะราคามันไหลลงเรื่อยๆ เหมือนเดินลงบันได ราคาจะทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Low) และจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลงตามไปด้วย (Lower High) ถ้าเห็นแบบนี้ ส่วนใหญ่ก็จะมองหาจังหวะ “ขาย” เพื่อหยุดขาดทุนหรือทำกำไรจากการขายชอร์ตถ้าทำได้ครับ ส่วนอีกแบบคือ แนวโน้ม Sideways หรือราคาแกว่งตัวในกรอบแคบๆ อันนี้เหมือนเดินอยู่บนพื้นราบ ราคาไม่ได้ทำจุดสูงสุดหรือต่ำสุดใหม่ที่ชัดเจน แค่แกว่งตัวขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในกรอบราคาเดิมๆ ถ้าเจอแบบนี้ บางคนก็เลือกที่จะ “ซื้อ” เมื่อราคาลงมาใกล้กรอบล่าง (แนวรับ) และ “ขาย” เมื่อราคาขึ้นไปใกล้กรอบบน (แนวต้าน) ครับ การ อ่านกราฟหุ้น เพื่อระบุแนวโน้มให้ได้ก่อน เป็นด่านแรกที่สำคัญมากๆ ในการวางแผนการเทรด
แล้วไอ้เส้นๆ หรือตัวเลขอื่นๆ ที่นักลงทุนชอบเอามาใส่บนกราฟเพื่อช่วยวิเคราะห์ล่ะคืออะไร? พวกนี้เราเรียกว่า เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือ อินดิเคเตอร์ (Indicators) ครับ มีเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด แต่ที่นักลงทุนมือใหม่ควรรู้จักก็มีไม่กี่ตัว เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average – MA หรือ EMA) อันนี้จะคำนวณราคาเฉลี่ยย้อนหลังในช่วงเวลาที่เรากำหนด เช่น EMA 10 วัน ก็คือราคาเฉลี่ยย้อนหลัง 10 วัน เส้นนี้จะช่วยกรองความผันผวนของราคา ทำให้เราเห็นแนวโน้มได้ชัดขึ้น สัญญาณซื้อขายอย่างง่ายๆ คือถ้าเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดขึ้นเหนือเส้นระยะยาว ก็อาจเป็นสัญญาณ “ซื้อ” หรือถ้าตัดลงต่ำกว่าก็เป็นสัญญาณ “ขาย” ครับ

อีกเครื่องมือที่สำคัญมากๆ คือ แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance) ลองจินตนาการว่า แนวรับ คือพื้น ที่ราคาลงมาแล้วมักจะมีแรงซื้อเข้ามาดันไม่ให้ลงต่อ ส่วน แนวต้าน คือเพดาน ที่ราคาขึ้นไปแล้วมักจะมีแรงขายออกมาฉุดไม่ให้ขึ้นต่อ ระดับราคาเหล่านี้เป็นเหมือน “โซน” ที่นักลงทุนจำนวนมากตั้งรอซื้อหรือรอขาย การที่เรารู้ แนวรับ แนวต้าน จะช่วยให้เรากำหนด จุดซื้อ จุดขาย ได้ชัดเจนขึ้นครับ ถ้าจะซื้อก็ควรมองหาจังหวะใกล้แนวรับ หรือถ้าจะขายก็มองหาจังหวะใกล้แนวต้าน
นอกจากนี้ ยังมีอินดิเคเตอร์ยอดนิยมอีกตัวคือ Relative Strength Index หรือ RSI ที่ใช้ดูว่าราคาหุ้นอยู่ในภาวะ ซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือ ขายมากเกินไป (Oversold) แล้วหรือยัง ซึ่งมักจะใช้เป็นสัญญาณเตือนว่าราคาอาจจะใกล้ถึงจุดกลับตัวแล้วก็ได้ และยังมีพวก เครื่องมือวาดเส้น (Drawing Tools) บนกราฟอีก เช่น การตีเส้นแนวโน้ม (Trend Line) เพื่อเชื่อมต่อจุดสูงสุดหรือต่ำสุดเพื่อบอกทิศทางของแนวโน้ม หรือการใช้ Fibonacci ที่เป็นลำดับตัวเลขทางคณิตศาสตร์มาช่วยกำหนดเป้าหมายราคาหรือจุดกลับตัวที่น่าสนใจ เครื่องมือพวกนี้เป็นเหมือนผู้ช่วยในการ อ่านกราฟหุ้น ที่ทำให้เรามองเห็นภาพรวมและสัญญาณต่างๆ ได้ง่ายขึ้นครับ
พอเราเริ่ม อ่านกราฟหุ้น เป็น ใช้เครื่องมือต่างๆ ได้บ้างแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การนำมาใช้กำหนด จุดซื้อขาย และที่สำคัญที่สุดคือ การบริหารความเสี่ยง ครับ การใช้ แนวรับ แนวต้าน ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ ช่วยให้เราหาจุดเข้าซื้อที่ได้เปรียบ และจุดขายเพื่อทำกำไรหรือลดการขาดทุนได้ง่ายขึ้น แต่สิ่งที่นักลงทุนมือใหม่มักจะละเลยคือ จุดตัดขาดทุน (Cut Loss / Stop Loss) นี่คือหัวใจของการอยู่รอดในตลาดหุ้นเลยครับ การกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าถ้า ราคาหุ้น ลงไปถึงจุดไหน เราจะยอมขายออกทันทีเพื่อหยุดการขาดทุน ไม่ปล่อยให้พอร์ตเสียหายหนักไปกว่านี้ จุดตัดขาดทุนนี้อาจจะตั้งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ยอมรับได้ เช่น ถ้าขาดทุน 5% จะขาย หรืออาจจะตั้งตาม แนวรับ ที่สำคัญ เช่น ถ้า ราคาหลุด แนวรับ นี้เมื่อไหร่จะขาย หรือตั้งตามเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ก็ได้ครับ การมีวินัยในการ Cut Loss เป็นสิ่งสำคัญมากๆ นะครับ เตือนไว้เลย
การที่จะเก่งเรื่อง อ่านกราฟหุ้น ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับนักลงทุนมือใหม่ครับ แค่ต้องอาศัยการเรียนรู้และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ปัจจุบันมีแหล่งเรียนรู้เยอะแยะเลยครับ เช่น บทความจาก Money Buffalo หรือ efinancethai.com คอร์สเรียนออนไลน์จาก SET หรือ YouTube ต่างๆ หรือแม้แต่การฝึกฝนดูกราฟและลองใช้เครื่องมือต่างๆ บนแพลตฟอร์มเทรดจริง เช่น Settrade Streaming ของตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือโปรแกรม MetaTrader4 (MT4) ที่นิยมใช้กันทั่วโลก แพลตฟอร์มเหล่านี้มีฟังก์ชันและเครื่องมือวิเคราะห์กราฟให้เราฝึกใช้เพียบครับ
สรุปแล้ว การ อ่านกราฟหุ้น หรือดูกราฟเทคนิค เป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญมากๆ สำหรับนักลงทุนทุกคนครับ มันช่วยให้เราเห็นภาพการเคลื่อนไหวของราคา ระบุแนวโน้ม หาจุดเข้าซื้อ จุดขาย และที่สำคัญคือช่วยในการบริหารความเสี่ยงของเราให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้เสมอก็คือ การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเพียง เครื่องมือ หนึ่งในหลายๆ เครื่องมือที่ใช้ในการตัดสินใจลงทุน ไม่ใช่ยาวิเศษที่รับประกันกำไร 100% นะครับ ตลาดหุ้นมีความผันผวนและปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ส่งผลต่อราคา การใช้ การ อ่านกราฟหุ้น ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท และที่สำคัญคือ การบริหารเงินทุนและบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด นี่แหละครับคือหนทางสู่การลงทุนในตลาดหุ้นอย่างยั่งยืน ขอให้นักลงทุนมือใหม่ทุกท่านสนุกกับการเรียนรู้และ อ่านกราฟหุ้น นะครับ เริ่มต้นจากกราฟง่ายๆ เครื่องมือพื้นฐาน แล้วค่อยๆ ต่อยอดไปเรื่อยๆ ครับ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ และไม่ควรลงทุนในจำนวนที่มากเกินกว่าที่ตัวเองจะรับความเสี่ยงจากการขาดทุนได้ครับ