
เอาล่ะครับ ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินรุ่นเก๋า ผมขออาสาพาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับเอกสารสำคัญที่หลายคนอาจจะมองข้าม แต่พอถึงเวลาต้องใช้จริงๆ ก็มีคำถามเต็มไปหมด นั่นก็คือ “สเตทเม้นท์” ครับ
เคยไหมครับ? วันดีคืนดีอยากจะซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือแม้แต่สมัครบัตรเครดิต เดินเข้าธนาคารไปปุ๊บ เจ้าหน้าที่มักจะขอเอกสารอย่างหนึ่งเลยคือ “สเตทเม้นท์ย้อนหลัง 6 เดือน หรือ 1 ปี” หรือบางทีจะไปเที่ยวต่างประเทศ ยื่นขอวีซ่า เจ้าหน้าที่สถานทูตก็ขอสเตทเม้นท์อีก นี่มันอะไรกันนักกันหนา แล้วไอ้เจ้า statement คืออะไร กันแน่?
พูดง่ายๆ นะครับ สเตทเม้นท์ (Bank Statement) ก็คือ “สมุดบันทึกการเงิน” ของบัญชีธนาคารเรานี่แหละครับ มันเป็นรายงานที่ธนาคารจัดทำขึ้น เพื่อแสดง “รายการเดินบัญชี” หรือการเคลื่อนไหวทางการเงินทั้งหมดที่เกิดขึ้นในบัญชีของเราในช่วงเวลาที่กำหนด โดยปกติจะเป็นรายเดือนครับ ลองนึกภาพว่าบัญชีธนาคารเราเป็นบ้าน สเตทเม้นท์ก็เหมือนไดอารี่ที่บันทึกว่า วันนี้มีใครเอาเงินมาให้ (เงินเข้า) วันนี้เราเอาเงินไปซื้ออะไร จ่ายค่าอะไร (เงินออก) แล้วสุดท้ายเหลือเงินเท่าไหร่ในแต่ละวัน มันคือหลักฐานที่บอกเล่าเรื่องราวการเงินของเราเลยล่ะครับ
แล้วในสเตทเม้นท์หนึ่งฉบับ มัน ประกอบด้วยอะไรบ้าง ล่ะ? เอาแบบคร่าวๆ ที่เราควรรู้นะครับ ก็จะมีข้อมูลสำคัญๆ เหล่านี้แหละครับ
1. **ข้อมูลเจ้าของบัญชี:** ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ เลขที่บัญชี ประเภทบัญชี (ออมทรัพย์, กระแสรายวัน, ฯลฯ) และชื่อสาขาธนาคารของเรา
2. **รายละเอียดการทำธุรกรรม:** อันนี้สำคัญสุดๆ ครับ จะบอกเลยว่า
* *วันที่และเวลา* ที่ทำรายการ
* *ประเภทรายการ* เช่น ฝาก, ถอน, โอน, จ่ายบิล, รับเงินเดือน, หักค่าธรรมเนียม
* *จำนวนเงิน* ที่เข้าหรือออก
* *ยอดคงเหลือ* หลังจากทำรายการนั้นๆ (อันนี้แหละที่บอกสถานะเงินในบัญชีเรา)
* *รายละเอียดเพิ่มเติม* เช่น โอนจากใคร, โอนไปให้ใคร, จ่ายค่าอะไร
3. **ข้อมูลสรุป:** จะบอกช่วงวันที่ของสเตทเม้นท์ชุดนี้ ยอดคงเหลือยกมาจากงวดก่อน ยอดคงเหลือยกไปงวดหน้า และจำนวนรายการทั้งหมด
4. **ข้อมูลธนาคาร:** ชื่อ โลโก้ ที่อยู่สาขา และช่องทางการติดต่อ
5. **ข้อมูลอื่นๆ (ถ้ามี):** เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ได้รับ (สำหรับบัญชีเงินฝาก), ค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ถูกหัก, หรือข้อความแจ้งเตือนจากธนาคารครับ
จะเห็นว่าข้อมูลในสเตทเม้นท์นี่ละเอียดสุดๆ ไปเลยใช่ไหมครับ ทีนี้มาดูกันว่า ไอ้เจ้าสมุดบันทึกการเงินเล่มนี้มันมีประโยชน์อะไรกับการเงินของเราบ้าง ทำไมใครๆ ก็ต้องใช้
อย่างแรกเลย สำหรับ **การบริหารการเงินส่วนบุคคล** นี่คือเครื่องมือชั้นยอดเลยครับ หลายคนเงินเดือนเข้าปุ๊บ ใช้เพลินจนไม่รู้เงินไปไหนหมด ลองเอาสเตทเม้นท์มาย้อนดูสิครับ มันจะฟ้องหมดเลยว่า เงินเราไหลไปทางไหนบ้าง จ่ายค่ากาแฟเยอะไปไหม? ช้อปปิ้งออนไลน์บ่อยแค่ไหน? ค่าเดินทางเท่าไหร่? พอเห็นภาพรวมแบบนี้ เราก็จะเริ่มวางแผนการเงินตัวเองได้ จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนตัวได้ง่ายขึ้น ปรับปรุงนิสัยการใช้เงินที่ไม่จำเป็น หรือหาช่องทางออมเงิน ลงทุน หรือจัดการหนี้สินที่เรามีอยู่ได้ตรงจุดมากขึ้นครับ มันเหมือนได้ส่องกระจกดูหน้าตาการเงินของเราเลยล่ะ
ส่วนใครที่เป็น **เจ้าของธุรกิจ** ไม่ว่าจะเป็นร้านเล็กๆ หรือบริษัทใหญ่โต สเตทเม้นท์นี่คือหัวใจสำคัญเลยครับ มันเป็น “หลักฐาน” ทางการเงินที่ถูกต้องที่สุด บอกว่าวันนี้มีลูกค้าโอนเงินค่าสินค้า/บริการมาเท่าไหร่ จ่ายค่าซัพพลายเออร์ไปเท่าไหร่ ใช้เป็นหลักฐานในการบันทึกบัญชี ทำงบการเงิน (Financial Statements) เพื่อดูภาพรวมสุขภาพทางการเงินของกิจการ คำนวณภาษี หรือติดตามกระแสเงินสดเข้าออกได้อย่างแม่นยำ ไม่มีพลาดเลยครับ

แต่ที่หลายคนต้องวุ่นวายกับการขอสเตทเม้นท์ ก็คือตอนที่จะ **ขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน** ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน รถ หรือสินเชื่อส่วนบุคคลครับ ทำไมธนาคารถึงให้ความสำคัญกับเอกสารนี้มาก? เพราะสเตทเม้นท์นี่แหละครับ คือสิ่งที่ธนาคารจะใช้ “ประเมิน” เราในเบื้องต้นเลยครับ เขาจะดูว่า
* **รายได้สม่ำเสมอไหม:** มีเงินเดือน/รายได้เข้าบัญชีทุกเดือน ตรงเวลาไหม? จำนวนเท่าเดิมตลอดหรือเปล่า?
* **มีพฤติกรรมการใช้เงินอย่างไร:** ใช้เงินฟุ่มเฟือยเกินตัวไหม? มีการออมบ้างหรือเปล่า? ยอดเงินคงเหลือในบัญชีเป็นยังไง?
* **มีความสามารถในการชำระหนี้แค่ไหน:** รายได้ที่เข้ามาเพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายและภาระผ่อนชำระ (ทั้งของเก่าและที่กำลังจะขอใหม่) หรือไม่?
การมีสเตทเม้นท์ที่แสดงถึงรายได้ที่สม่ำเสมอ มีเงินเข้าออกในระดับที่เหมาะสม ไม่ได้ถอนจนเกลี้ยงบัญชีทุกเดือน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อได้มากเลยครับ ธนาคารมักจะขอดูย้อนหลัง 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อดูแนวโน้มและพฤติกรรมระยะยาวของเราครับ
นอกจากสินเชื่อแล้ว ใครที่กำลังจะ **สมัครบัตรเครดิต** สเตทเม้นท์ก็จำเป็นเหมือนกันครับ ธนาคารผู้ออกบัตรจะใช้ดูรายรับเฉลี่ยต่อเดือนของเราจากสเตทเม้นท์นี่แหละ เพื่อพิจารณาวงเงินบัตรเครดิตที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระของเราครับ ยิ่งรายได้ดี การใช้จ่าย/ออมเงินดูมีวินัย ก็มีโอกาสได้วงเงินสูงขึ้น
และอย่างที่เกริ่นไปตอนต้น สำหรับคนที่ต้องการ **ขอวีซ่า** ไปเรียนต่อหรือท่องเที่ยวต่างประเทศ สเตทเม้นท์ก็เป็นหลักฐานสำคัญในการแสดง “ความมั่นคงทางการเงิน” (Financial Stability) ครับ สถานทูตต้องการให้แน่ใจว่าเรามีเงินเพียงพอที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาที่เราจะอยู่ในประเทศเขาได้ บางประเทศอย่างสหราชอาณาจักร (UK) ยังมีกฎเป๊ะๆ ด้วยนะครับว่า เงินต้องอยู่ในบัญชีอย่างน้อย 28 วันก่อนยื่นขอวีซ่า และต้องมีจำนวนไม่ต่ำกว่าที่เขากำหนดด้วยครับ หรือบางกรณีสามารถใช้สเตทเม้นท์ของผู้ปกครองที่มีความสัมพันธ์ทางกฎหมายได้ครับ
ทีนี้หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยว่า แล้วเราจะ **ขอสเตทเม้นท์ได้จากที่ไหนบ้าง** ล่ะ? เดี๋ยวนี้สะดวกสบายขึ้นเยอะครับ มีหลายช่องทางเลย:
* **ที่สาขาธนาคาร:** วิธีดั้งเดิม เข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ได้เลยครับ เตรียมบัตรประชาชนตัวจริงและสมุดบัญชีไปด้วยนะครับ
* **ผ่านแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ / ระบบออนไลน์ (Internet Banking):** ช่องทางยอดนิยม สะดวก รวดเร็ว ส่วนใหญ่ขอดูรายการย้อนหลังได้พอสมควร หรือบางธนาคารก็มีบริการขอแบบเป็นไฟล์ PDF ส่งให้ทางอีเมลได้เลยครับ
* **Call Center:** บางธนาคารก็มีบริการให้ขอทางโทรศัพท์ได้ครับ อาจจะมีเงื่อนไขเพิ่มเติม
* **ตู้ ATM:** บางธนาคารมีฟังก์ชันให้พิมพ์รายการเดินบัญชีแบบย่อได้ที่ตู้ ATM เลยครับ
เรื่อง **ค่าธรรมเนียม** ในการขอสเตทเม้นท์ ก็แล้วแต่ธนาคารและระยะเวลาย้อนหลังที่เราขอครับ โดยทั่วไปถ้าขอย้อนหลังไม่เกิน 6 เดือน อาจจะฟรี หรือมีค่าธรรมเนียมประมาณ 100 บาท ถ้า 6-12 เดือน อาจจะประมาณ 200 บาท และถ้ามากกว่า 12 หรือ 24 เดือนขึ้นไป ค่าธรรมเนียมก็จะสูงขึ้นไปอีกครับ (ตัวเลขพวกนี้เป็นประมาณการ อาจแตกต่างกันไปในแต่ละธนาคารนะครับ)
และอีกบริการที่น่าจับตา คือ **dStatement** ครับ อันนี้เป็นบริการกลางที่กำลังพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด Open Data ช่วยให้เราสามารถ “ส่ง” ข้อมูลรายการเดินบัญชีของเราจากธนาคารหนึ่ง ไปให้อีกธนาคารหนึ่งได้โดยตรงผ่านระบบดิจิทัลเลยครับ สะดวกมากๆ สำหรับเวลาขอสินเชื่อกับธนาคารที่เราไม่มีบัญชีเงินเดือนเข้าครับ ไม่ต้องไปขอสเตทเม้นท์กระดาษหรือไฟล์เองแล้ว
มาถึงเรื่องที่ทุกคนอยากรู้! แล้วจะ **ทำยังไงให้สเตทเม้นท์ของเรา “ดูดี” ในสายตาธนาคารเวลาขอสินเชื่อ** ล่ะ? ผมมีข้อแนะนำให้ครับ

* **รับเงินเข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมอ:** อันนี้สำคัญสุดๆ ครับ โดยเฉพาะถ้าเป็นเงินเดือน ควรให้บริษัทโอนเข้าบัญชีที่เราจะใช้ยื่นขอสินเชื่อประจำ หรือถ้าเป็นรายได้จากธุรกิจ ก็ควรนำฝากเข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมอ
* **ขอหนังสือรับรองเงินเดือนประกอบ (ถ้ามี):** ยิ่งตอกย้ำความน่าเชื่อถือของรายได้ครับ
* **รายได้พิเศษ:** ถ้ามีรายได้พิเศษอื่นๆ ควรนำฝากเข้าบัญชีและเก็บหลักฐานที่มาของรายได้ไว้ด้วย เพื่อให้สามารถอธิบายธนาคารได้ครับ
* **รักษาระดับยอดเงินคงเหลือ:** พยายามอย่าถอนเงินจนเกลี้ยงบัญชีทันทีที่เงินเข้าครับ การมีเงินเหลือติดบัญชีบ้างแสดงถึงสภาพคล่องและการบริหารจัดการที่ดี
* **เงินก้อนใหญ่ที่เข้ามา:** หากมีเงินก้อนใหญ่ผิดปกติเข้ามาในบัญชี ควรเตรียมเอกสารหรือคำอธิบายที่มาของเงินนั้นไว้ด้วยครับ เช่น เงินจากการขายทรัพย์สิน มรดก ฯลฯ
* **จัดการหนี้ที่มีอยู่:** ก่อนขอสินเชื่อใหม่ ควรพยายามลดภาระหนี้สินที่มีอยู่ให้น้อยที่สุดครับ ธนาคารจะดูภาระหนี้รวมทั้งหมดของเรา
* **รักษาประวัติการเงินที่ดีในเครดิตบูโร (Credit Bureau):** สเตทเม้นท์ดีอย่างเดียวไม่พอครับ ถ้าประวัติในเครดิตบูโรไม่ดี เช่น เคยค้างชำระหนี้ ก็อาจส่งผลต่อการอนุมัติได้ครับ จ่ายหนี้ต่างๆ ให้ตรงเวลาเสมอครับ
* **เตรียมเอกสารอื่นๆ ให้ครบถ้วน:** นอกจากสเตทเม้นท์ ก็ยังมีเอกสารอื่นๆ ที่ธนาคารต้องการ เช่น สำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สลิปเงินเดือน/หนังสือรับรองเงินเดือน หลักฐานรายได้อื่นๆ เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ (ถ้ามี) เตรียมให้พร้อมจะช่วยให้กระบวนการเร็วขึ้นครับ
* **ประเมินความสามารถตัวเอง:** ลองคำนวณดูว่า รายได้ต่อเดือนของเรา หักค่าใช้จ่ายและหนี้สินเก่าแล้ว พอจะมีเงินเหลือพอสำหรับผ่อนชำระหนี้ก้อนใหม่หรือไม่ครับ ธนาคารมักจะพิจารณาวงเงินอนุมัติโดยดูจากความสามารถในการชำระ ซึ่งมักจะกำหนดภาระหนี้รวมทั้งหมด (รวมหนี้ใหม่) ไม่เกินประมาณ 40% ของรายได้ต่อเดือนครับ
⚠️ ข้อควรระวัง: การมีสเตทเม้นท์ที่ดูดีเป็นส่วนสำคัญ แต่การอนุมัติสินเชื่อขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ประวัติเครดิต (เครดิตบูโร), ภาระหนี้ที่มีอยู่เดิม, นโยบายของแต่ละธนาคาร, และภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้นครับ อย่าคิดว่าแค่สเตทเม้นท์สวยแล้วจะกู้ผ่านแน่นอน 100% นะครับ
ท้ายที่สุดแล้ว สเตทเม้นท์หรือรายการเดินบัญชีธนาคารไม่ใช่แค่เอกสารธรรมดาๆ ที่เอาไว้ขอสินเชื่อ ขอวีซ่า เท่านั้นนะครับ แต่มันคือ “กระจกสะท้อนสุขภาพทางการเงิน” ของเราอย่างแท้จริง การที่เราหมั่นตรวจสอบสเตทเม้นท์ของตัวเองเป็นประจำ เข้าใจว่าเงินไปไหน มาจากไหน และสร้างวินัยในการใช้จ่าย รวมถึงการรับรายได้ให้เข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมอ นี่แหละครับ คือรากฐานสำคัญของการมีสุขภาพทางการเงินที่ดี ซึ่งจะส่งผลดีกับเราในระยะยาว ไม่ใช่แค่ตอนที่ต้องยื่นเอกสารสำคัญๆ เท่านั้นครับ
หวังว่าบทความนี้จะช่วยคลายข้อสงสัยเกี่ยวกับสเตทเม้นท์ได้ไม่มากก็น้อยนะครับ ครั้งหน้าถ้าใครขอสเตทเม้นท์อีก จะได้ไม่ต้องงงแล้วครับ! สร้างวินัยทางการเงินที่ดีตั้งแต่วันนี้เพื่ออนาคตที่มั่นคงนะครับ!