
เพื่อนๆ เคยไปทาน MK ไหมครับ ร้านสุกี้เจ้าดังที่เราเห็นกันคุ้นตา ไปทีไรคนก็เยอะ เมนูหลากหลาย น้ำจิ้มเด็ดถูกปากใครหลายคน ยิ่งช่วงเทศกาลนี่แทบจะไม่มีที่นั่งเลยใช่ไหมครับ เวลาเราพูดถึงหุ้นร้านอาหารไทยชื่อดัง ก็ต้องมีชื่อ ‘หุ้น M’ หรือ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โผล่มาในหัวแน่นอน ซึ่งวันนี้ผมในฐานะคนเขียนคอลัมน์การเงินที่ชอบเอาเรื่องยากๆ มาเล่าให้ฟังง่ายๆ จะพาไปดูกันว่า หุ้น m วัน นี้ เขามีเรื่องราวอะไรน่าสนใจบ้าง
ลองนึกภาพตามนะครับ เพื่อนสนิทคนหนึ่งเดินมาถามเราว่า “เฮ้ย หุ้น MK น่าซื้อไหมวะ เห็นราคาลงมาเยอะเลย?” คำถามนี้แหละครับ ที่ทำให้เราต้องมาแกะดูว่าภายใต้ชื่อแบรนด์ที่แข็งแกร่งนี้ ตัวบริษัทและราคาหุ้นเขากำลังเป็นยังไงอยู่
อย่างแรกเลย เราต้องรู้ก่อนว่า MK Restaurant Group หรือ หุ้น M เนี่ย เขาไม่ได้มีแค่ร้านสุกี้ MK อย่างเดียวแล้วนะครับ ปัจจุบันเขามีร้านอาหารอีกหลายแบรนด์เลย ทั้งร้านอาหารญี่ปุ่นยอดนิยมอย่าง ยาโยอิ (Yayoi), ฮิคินิคุ โตะ โคเมะ (Hikiniku to kome), ฮากาตะ (Hakata), มิยาซากิ (Miyazaki) หรือร้านอาหารไทยอย่าง แหลมเจริญ ซีฟู้ด, ณ สยาม, เลอสยาม แถมยังมีร้านข้าวกล่อง บิซซี่ บ็อก (Bizzy Box) และร้านกาแฟ/เบเกอรี่ เลอ เพอทิท (Le Petit) ด้วย เรียกว่าครอบคลุมอาหารหลากหลายสไตล์เลยทีเดียว และไม่ใช่แค่ในไทย เขายังขยายสาขาไปต่างประเทศอย่าง ญี่ปุ่น, เวียดนาม, ลาว, มาเลเซีย อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหารและสถาบันฝึกอบรมอีกต่างหาก นี่แสดงให้เห็นว่าบริษัทเขามีการกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้จากหลายทาง
ทีนี้ มาดูเรื่องที่นักลงทุนอย่างเราสนใจเป็นพิเศษ นั่นก็คือ “ราคา หุ้น m วัน นี้” (ข้อมูล ณ วันที่ 25 เม.ย. 2568) ราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ 18.80 บาท ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.10 บาท หรือ +0.53% จากราคาปิดวันก่อนหน้า ซึ่งดูเผินๆ ก็อาจจะรู้สึกว่าราคาขยับนิดหน่อย แต่ถ้าเรามองย้อนไปตั้งแต่ต้นปี 2568 จะพบว่าราคา หุ้น M ยังปรับลดลงถึง 25.61% เมื่อเทียบกับราคา ณ สิ้นปีที่แล้ว และถ้าเทียบกับช่วง 52 สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาเคยขึ้นไปสูงถึง 37.25 บาท แต่ก็เคยลงไปต่ำสุดที่ 16.30 บาท เมื่อไม่นานมานี้เอง (ประมาณต้นเดือน เม.ย. 2568) นี่ทำให้หลายคนสงสัยว่า เอ๊ะ ทำไมถึงลงมาเยอะขนาดนี้ ทั้งที่ก็เป็นร้านที่คนรู้จักและไปใช้บริการกันอยู่?

การที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาค่อนข้างมากในช่วงต้นปี อาจจะสะท้อนถึงผลประกอบการบางอย่าง หรือภาพรวมตลาดที่ยังไม่ค่อยเอื้ออำนวย แต่การที่ราคาวันนี้ (25 เม.ย. 2568) ขยับบวกได้เล็กน้อย พร้อมกับปริมาณซื้อขายระหว่างวันที่ค่อนข้างคึกคักที่ 1,123,667 หุ้น มูลค่าซื้อขายกว่า 21 ล้านบาท ก็อาจจะบอกได้ว่าเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาอยู่บ้าง หลังจากที่ราคาลงไปใกล้จุดต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์แล้วครับ
ทีนี้เรามาเจาะลึกดู “สุขภาพทางการเงิน” ของ หุ้น M กันบ้าง ตัวเลขพวกนี้เหมือนผลตรวจสุขภาพของบริษัทเลยครับ
* **P/E Ratio (ราคาต่อกำไรต่อหุ้น):** อยู่ที่ประมาณ 11.47 เท่า เทียบกับกลุ่มธุรกิจร้านอาหารเดียวกัน และเทียบกับตลาดโดยรวม ถือว่า P/E ของ MK ยังดูไม่แพงมากนัก หรืออาจจะเรียกว่าค่อนข้างถูกด้วยซ้ำ (กลุ่มเฉลี่ย 12.59 เท่า, ตลาดเฉลี่ย 15.65 เท่า) P/E ย่อมาจาก Price-to-Earnings Ratio เป็นอัตราส่วนที่บอกว่าเราต้องจ่ายเงินกี่เท่าของ “กำไรต่อหุ้น” (Earnings Per Share หรือ EPS) เพื่อซื้อหุ้นตัวนี้ ยิ่ง P/E ต่ำ ก็อาจจะบอกว่าหุ้นตัวนี้มีราคาที่ถูกเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรของเขา
* **P/BV Ratio (ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น):** อยู่ที่ 1.23 เท่า เทียบกับมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value Per Share) ซึ่งอยู่ที่ 14.86 บาท หมายความว่าราคาหุ้นตอนนี้สูงกว่ามูลค่าตามบัญชีอยู่ 1.23 เท่า อัตราส่วนนี้บอกว่าราคาหุ้นปัจจุบันที่เราซื้อ ขายกันอยู่นั้น เป็นกี่เท่าของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของบริษัท (หลังหักหนี้สินออกหมดแล้ว) ถ้า P/BV ต่ำกว่า 1 อาจจะแปลว่าหุ้นตัวนี้ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์ของบริษัท แต่ถ้ามากกว่า 1 ก็คือซื้อขายสูงกว่ามูลค่าทางบัญชี
* **อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield):** นี่เป็นจุดเด่นที่หลายคนพูดถึงของ หุ้น M เลยครับ อ้างอิงข้อมูลล่าสุดน่าจะอยู่ราวๆ 8.01% (แม้จะมีข้อมูลปี 2024 ระบุ 6.10% และ 6.63% หรือ YTD ที่ 8.23% ตัวเลขพวกนี้อาจจะแตกต่างกันตามรอบการคำนวณ แต่ที่แน่ๆ คือเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูง) เงินปันผลคือส่วนแบ่งกำไรที่บริษัทจ่ายคืนให้กับผู้ถือหุ้นในแต่ละปี อัตราที่สูงขนาดนี้ย่อมดึงดูดนักลงทุนที่มองหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นกระแสเงินสดที่ดี แต่… จุดที่ต้องพิจารณาอย่างยิ่ง คือในปี 2024 บริษัทมี “อัตราการจ่ายเงินปันผล” (Dividend Payout Ratio) สูงถึง 95.31% หมายความว่าบริษัทนำกำไรเกือบทั้งหมดมาจ่ายเป็นปันผล ซึ่งอาจจะทำให้ความสามารถในการนำกำไรไปลงทุนขยายธุรกิจในอนาคตลดลง และที่สำคัญ ถ้ากำไรในปีถัดไปลดลงมากๆ การจะจ่ายปันผลในอัตราที่สูงเท่าเดิมก็อาจเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูครับ
ลองดูตัวเลขอื่นๆ ประกอบนะครับ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.40 เท่า ถือว่าต่ำมากครับ แสดงว่าบริษัทมีภาระหนี้น้อยมาก ฐานะการเงินแข็งแกร่ง สามารถกู้ยืมเพื่อขยายธุรกิจได้สบายๆ ส่วนความสามารถในการทำกำไร อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin หรือ NPM) อยู่ที่ 9.24% และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin หรือ GPM) สูงถึง 67.39% ซึ่ง GPM ที่สูงมากขนาดนี้บ่งชี้ว่าต้นทุนขายสินค้าของ MK ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ หรืออาจจะมีอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ได้ดี หรืออาจจะมาจากการตั้งราคาที่ค่อนข้างสูง
ทีนี้เรามาดูที่ “ผลการดำเนินงาน” ย้อนหลังกันบ้าง ตัวเลขเหล่านี้จะบอกเราว่าธุรกิจของ MK เติบโตหรือถดถอยอย่างไร
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าในปี 2566 รายได้และกำไรสุทธิของ MK ยังคงเติบโตได้ดี (รายได้โต 5.93%, กำไรสุทธิโต 16.90%) ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการฟื้นตัวหลังช่วงโควิด-19 แต่พอมาถึงปี 2567 ตัวเลขกลับพลิกผันเล็กน้อยครับ รายได้รวมปรับลดลง 7.46% และที่น่ากังวลกว่าคือ กำไรสุทธิปรับลดลงถึง 14.29% เมื่อเทียบกับปี 2566 ครับ แม้ว่าต้นทุนขายจะลดลง 10.96% ซึ่งช่วยพยุงอัตรากำไรขั้นต้นได้ แต่รายได้ที่ลดลงก็ส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิอย่างชัดเจน
นี่อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ราคา หุ้น M ยังไม่ไปไหนในช่วงต้นปี หรือปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก เหมือนกับว่านักลงทุนเริ่มกังวลกับแนวโน้มผลประกอบการในปีล่าสุดที่ปรับตัวลดลงนั่นเองครับ
แต่ใช่ว่า หุ้น M จะไม่มีจุดแข็งนะครับ ในอุตสาหกรรมร้านอาหารที่แข่งขันกันดุเดือดเหมือนสนามรบย่อมๆ MK ก็มีข้อได้เปรียบหลายอย่างเลยครับ อย่างแรกคือ “แบรนด์” ที่แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับมานานกว่า 30 ปีในตลาดสุกี้และร้านอาหารไทยครับ เวลาคนนึกถึงสุกี้ดีๆ ก็มักจะนึกถึง MK เป็นอันดับต้นๆ นี่คือพลังของแบรนด์ที่สร้างฐานลูกค้าประจำได้เยอะมาก อย่างที่สองคือ “คุณภาพบริการและประสบการณ์” ลูกค้าไปทาน MK มักจะรู้สึกประทับใจกับบริการที่รวดเร็ว พนักงานที่สุภาพ และมาตรฐานความสะอาดที่ดี ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำๆ และอย่างที่สามคือ “ฐานะทางการเงิน” ที่แข็งแกร่งมากอย่างที่เห็นจาก D/E Ratio ที่ต่ำ ทำให้บริษัทมีศักยภาพในการขยายสาขาหรือลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีเรื่อง “การบริหารต้นทุน” ที่มีประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือ “เครือข่ายร้านอาหาร” กว่า 600 สาขาทั่วประเทศ ที่ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ทุกพื้นที่ และยังมีระบบซัพพลายเชน (Supply Chain) และครัวกลางที่ทันสมัย ทำให้การบริหารจัดการวัตถุดิบและการควบคุมคุณภาพเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

แน่นอนว่า เมื่อมีจุดแข็ง ก็ต้องมี “ความเสี่ยง” และ “ความท้าทาย” ครับ ความเสี่ยงหลักๆ คือ
1. **การแข่งขันที่สูงมาก:** ทั้งจากแบรนด์ร้านอาหารเดิมๆ และแบรนด์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา รวมถึงแบรนด์ต่างประเทศที่เข้ามาทำตลาดในไทย ไม่ใช่แค่สุกี้ แต่รวมถึงร้านอาหารประเภทอื่นๆ ที่ MK มีอยู่ด้วย
2. **ต้นทุนวัตถุดิบที่ผันผวน:** ราคาเนื้อสัตว์ ผัก หรือสินค้าบางอย่างที่ต้องนำเข้า มีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนและกำไรของบริษัท
ทาง MK เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนะครับ เขาก็มี “มาตรการรับมือ” เพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้อยู่แล้ว เช่น การพัฒนานวัตกรรมเมนูอาหารใหม่ๆ ออกมาให้ลูกค้าได้ลองอยู่เสมอ การรักษามาตรฐานคุณภาพและบริการในร้านค้าให้คงที่และดียิ่งขึ้น การสร้างความแตกต่างด้วยบริการเสริมต่างๆ หรือโปรแกรมสะสมแต้ม (Loyalty Program) เพื่อรักษาฐานลูกค้าประจำ และในส่วนของต้นทุนวัตถุดิบ ก็มีการทำสัญญาซื้อขายระยะยาวกับซัพพลายเออร์รายใหญ่ หรือกระจายแหล่งที่มาของวัตถุดิบเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาในแหล่งใดแหล่งหนึ่งครับ
ในมุมของนักวิเคราะห์ (Analyst) ที่ติดตาม หุ้น M ก็มีมุมมองที่หลากหลายนะครับ จากข้อมูลที่เห็น ประมาณการราคาเป้าหมาย (Target Price) ก็มีตั้งแต่ 15.60 บาท ไปจนถึง 24.00 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักวิเคราะห์แต่ละคนก็มองอนาคตของบริษัทแตกต่างกันไปครับ ส่วนสัญญาณทางเทคนิค (Technical Analysis) สำหรับ หุ้น m วัน นี้ อาจจะดูเป็น ‘ซื้อ’ ในระยะสั้นมากๆ (ตามข้อมูล ณ วันที่ 25 เม.ย.) แต่ถ้ามองภาพยาวขึ้นในระดับ 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน สัญญาณทางเทคนิคกลับเป็น ‘ขาย’ ซึ่งบ่งบอกว่าโมเมนตัมของราคาในภาพรวมยังเป็นขาลงอยู่ครับ สัญญาณทางเทคนิคเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการวิเคราะห์ ไม่ได้รับประกันว่าราคาจะไปตามนั้นเสมอครับ
โดยสรุปแล้ว หุ้น M หรือ MK Restaurant Group เป็นบริษัทร้านอาหารที่มีพื้นฐานค่อนข้างแข็งแกร่งในหลายมิติ ทั้งแบรนด์ที่คนรู้จักเป็นอย่างดี ฐานะการเงินที่ดี ไม่ค่อยมีหนี้ และเครือข่ายสาขาที่กว้างขวางทั่วประเทศ ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่าย และยังมีธุรกิจอื่นๆ ที่ช่วยเสริมรายได้ แต่บริษัทก็กำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ คือ การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่สูงมาก และที่เห็นได้ชัดจากผลประกอบการปี 2567 คือ รายได้และกำไรสุทธิที่ปรับตัวลดลง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นยังไม่สดใสนักในช่วงต้นปีนี้
จุดเด่นเรื่องเงินปันผลที่สูงถึงประมาณ 8.01% ก็ยังน่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนเป็นกระแสเงินสด แต่ก็ต้องพิจารณาจากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูงถึง 95.31% ในปี 2567 ประกอบกับผลกำไรปีล่าสุดที่ลดลงด้วย ว่าความสามารถในการจ่ายปันผลที่อัตราสูงขนาดนี้จะยั่งยืนแค่ไหนในอนาคต
สำหรับคนที่สนใจ หุ้น m วัน นี้ อาจจะต้องพิจารณาว่า มองเป็นการลงทุนระยะยาวเพราะเชื่อในความแข็งแกร่งของแบรนด์และศักยภาพในการปรับตัว หรือมองว่าเป็นหุ้นที่ให้ปันผลสูงในปัจจุบัน แต่ต้องยอมรับความเสี่ยงเรื่องผลประกอบการที่อาจจะยังไม่ฟื้นตัว หรือมองว่าราคาที่ปรับตัวลงมาเยอะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน แต่ก็ต้องประเมินความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาอย่างรอบคอบครับ
⚠️ การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของบริษัท ทั้งผลประกอบการ ฐานะทางการเงิน แนวโน้มธุรกิจ ความเสี่ยง และบทวิเคราะห์ต่างๆ ให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ และไม่ควรนำเงินทั้งหมดมาลงทุนในหุ้นตัวเดียว โดยเฉพาะหากต้องการสภาพคล่องสูง เพราะราคาหุ้นอาจมีความผันผวนจากปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยเฉพาะของบริษัทได้ตลอดเวลาครับ ไม่มีอะไรรับประกันผลตอบแทนในการลงทุนในหุ้นนะครับ