พลาดไม่ได้! ตลาดหุ้นสหรัฐเปิดกี่โมง? เคล็ดลับเทรดหุ้นอเมริกาฉบับมือใหม่

เพื่อนๆ เคยไหมครับที่เห็นข่าวหุ้นต่างประเทศเด้งแรงๆ หรือทุบหนักๆ ตอนกลางคืน แล้วอดสงสัยไม่ได้ว่าเอ๊ะ ตลาดหุ้น สหรัฐ เปิดกี่โมงกันนะ ทำไมมันถึงไปมีผลตอนบ้านเราดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ บางทีก็เห็นเพื่อนที่เทรดหุ้นต่างประเทศบอกว่า “เมื่อคืนดึกหน่อย เฝ้าตลาดอเมริกาอยู่” แล้วเราก็งงๆ ว่าต้องนอนดึกขนาดนั้นเลยเหรอ?

จริงๆ แล้วเรื่องเวลาทำการของตลาดหุ้น สหรัฐ เนี่ย เป็นเรื่องพื้นฐานมากๆ ที่นักลงทุนสายอินเตอร์ต้องรู้เลยครับ เพราะมันสัมพันธ์โดยตรงกับจังหวะการซื้อขายของเรา ยิ่งใครที่ชอบเทรดแบบแอ็คทีฟ จับตาดูราคาเรียลไทม์ ยิ่งต้องเป๊ะเรื่องเวลาครับ

เอาล่ะครับ วันนี้ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องง่าย (เหมือนคุยกับเพื่อน) จะมาไขข้อข้องใจเรื่อง ตลาดหุ้น สหรัฐ เปิดกี่โมง รวมถึงพาไปดูว่าตลาดหุ้นอันดับต้นๆ ของโลกอย่างอเมริกามันน่าสนใจตรงไหน แล้วคนไทยอย่างเราจะไปลงทุนในนั้นได้ยังไงบ้าง ทั้งหมดนี้แบบเข้าใจง่ายๆ ไม่ต้องกลัวศัพท์แสงการเงินยากๆ เลยครับ

**ตลาดหุ้น สหรัฐ เปิดกี่โมง? ไขข้อข้องใจเรื่องเวลาทำการที่ไม่เหมือนบ้านเรา**

คำถามยอดฮิตอย่าง ตลาดหุ้น สหรัฐ เปิดกี่โมง? ต้องบอกว่ามันไม่ได้มีแค่เวลาเดียวแบบเป๊ะๆ เหมือนบ้านเรานะครับ เพราะอเมริกาเขามีสิ่งที่เรียกว่า “Daylight Saving Time” หรือ เวลาออมแสง ซึ่งจะปรับเวลาปีละ 2 ครั้ง เพื่อใช้ประโยชน์จากแสงแดดในฤดูร้อน ทำให้เวลาทำการของ ตลาดหุ้น สหรัฐ เมื่อเทียบกับเวลาประเทศไทย (ซึ่งคือ GMT+7:00) มีอยู่ 2 ช่วงหลักๆ ครับ:

1. **ช่วงเวลาปกติ (โดยทั่วไปประมาณเดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนมีนาคม):** ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (New York Stock Exchange หรือ NYSE) และ ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ (NASDAQ Stock Market) จะเปิดทำการซื้อขายตามเวลาประเทศไทยคือ 21:30 น. (สามทุ่มครึ่ง) และปิดทำการที่เวลา 04:00 น. (ตีสี่) ของวันถัดไป
2. **ช่วงเวลา Daylight Saving Time (โดยทั่วไปประมาณเดือนมีนาคม ถึง เดือนพฤศจิกายน):** เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเวลาในอเมริกา ตลาดหุ้นจะเปิดทำการเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับเวลาปกติของเขา ทำให้เวลาเปิด-ปิด เมื่อเทียบกับเวลาประเทศไทยคือ เปิดทำการที่ 20:30 น. (สองทุ่มครึ่ง) และปิดทำการที่เวลา 03:00 น. (ตีสาม) ของวันถัดไป

เห็นไหมครับว่าเวลาเปิด-ปิดมันเลื่อนไปมาอยู่ตลอด ดังนั้น ใครที่วางแผนจะเทรดหุ้น สหรัฐ ต้องเช็กให้ดีๆ ว่าช่วงนั้นเป็นเวลาปกติ หรือ เวลาออมแสง จะได้ไม่พลาดจังหวะสำคัญครับ

อีกจุดที่น่าสนใจคือ ตลาดหุ้น สหรัฐ **ไม่มีการหยุดพักระหว่างวัน** เหมือนตลาดหุ้นในเอเชียหลายๆ แห่ง เช่น ตลาดหุ้นไทย ที่มีพักเที่ยง หรือตลาดหุ้นจีน (จีน: 中国股市, Zhōngguó Gǔshì), ตลาดหุ้นฮ่องกง (ฮ่องกง: 香港股市, Hoeng1gong2 Gu2si5), ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 日本株, Nippon Kabu), ตลาดหุ้นเวียดนาม (เวียดนาม: Thị trường chứng khoán Việt Nam) ที่มีช่วงพักระหว่างวันเช่นกัน ทำให้ ตลาดหุ้น สหรัฐ มีชั่วโมงการซื้อขายที่ยาวกว่า คือ **6 ชั่วโมง 30 นาที** ต่อวัน ในขณะที่ตลาดหุ้นไทย (หลังปรับเวลาช่วงบ่ายให้เร็วขึ้นตั้งแต่ 25 มี.ค. 2567) มีชั่วโมงซื้อขายรวม 5 ชั่วโมง ส่วนตลาดอื่นๆ ในเอเชียก็ประมาณ 4-5.5 ชั่วโมง การที่ ตลาดหุ้น สหรัฐ เปิดยาวๆ ไม่มีพักเลย ก็หมายถึงโอกาสในการเคลื่อนไหวของราคาที่มีต่อเนื่องมากขึ้นครับ

สำหรับ ตลาดการเงิน อื่นๆ อย่าง ตลาดฟอเร็กซ์ (Forex) อันนี้จะเปิดเกือบตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้วครับ หมุนเวียนไปตามโซนเวลาสำคัญของโลก เช่น ซิดนีย์ โตเกียว ลอนดอน นิวยอร์ก ซึ่งแต่ละตลาดจะมีช่วงที่เปิดคาบเกี่ยวกัน ยิ่งช่วงที่ตลาดใหญ่ๆ คาบเกี่ยวกัน (เช่น ลอนดอนกับนิวยอร์ก) ปริมาณการ ซื้อขาย และความผันผวนก็จะสูงเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับนักเทรดที่ชอบความเคลื่อนไหวรวดเร็วครับ แต่สำหรับ ตลาดหุ้น เราจะโฟกัสที่เวลาเปิด-ปิดของแต่ละตลาดเป็นหลักครับ

**ทำไม ตลาดหุ้น สหรัฐ ถึงสำคัญ? มาทำความรู้จัก ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ กัน**

เมื่อพูดถึง ตลาดหุ้น สหรัฐ นอกเหนือจาก NYSE ที่เป็นตลาดเก่าแก่และใหญ่ตามมูลค่าแล้ว อีกตลาดที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ครับ ชื่อเต็มๆ คือ National Association of Securities Dealers Automated Quotations ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1971 ความพิเศษของ NASDAQ คือเป็น ตลาดหลักทรัพย์ แห่งแรกของโลกที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการ ซื้อขาย ทั้งหมด ไม่มีการใช้คนตะโกนต่อรองราคาเหมือนในอดีต

NASDAQ เป็นที่รู้จักในฐานะ “บ้าน” ของ บริษัท จดทะเบียน กลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่และมีมูลค่าสูงที่สุดในโลกครับ ลองนึกถึงชื่อ บริษัท เทคโนโลยี ดังๆ อย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet (บริษัทแม่ Google), Meta (บริษัทแม่ Facebook, Instagram), หรือ Tesla ส่วนใหญ่มักจะจดทะเบียนอยู่ใน NASDAQ นี่แหละครับ ทำให้ NASDAQ เป็น ตลาดหลักทรัพย์ ที่สะท้อนภาพรวมและความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรมของโลกได้ดีมากๆ และมีจำนวน บริษัท จดทะเบียน มากที่สุดในบรรดา ตลาดหลักทรัพย์ ของ สหรัฐอเมริกา ด้วย

การที่ บริษัท ใหญ่ๆ เหล่านี้อยู่ใน NASDAQ ทำให้ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์ นี้มีอิทธิพลต่อ ตลาดหุ้น ทั่วโลก รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วยครับ

**ผลประกอบการบริษัทใหญ่ ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตา**

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาหุ้น และเป็นตัวกำหนดทิศทางของ ตลาดหุ้น สหรัฐ ในแต่ละช่วง คือ การประกาศ ผลประกอบการ ของ บริษัท จดทะเบียน ครับ โดยเฉพาะ บริษัท ขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อ ดัชนี ตลาดฯ

ยกตัวอย่างจากข้อมูลที่เรามี (ซึ่งเป็นช่วงปลายปี 2022 ถึงต้นปี 2023) การประกาศ ผลประกอบการ ไตรมาส 4 ปี 2022 ของ บริษัท กลุ่มเทคโนโลยี อย่าง AMAZON, META, ALPHABET หรือแม้แต่ TESLA เป็นเหตุการณ์ที่ นักลงทุน ทั่วโลกจับตาดูอย่างใกล้ชิดครับ

ในตอนนั้น TESLA เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจมากครับ เพราะประกาศ ผลประกอบการ ออกมาดีกว่าที่ นักวิเคราะห์ คาดการณ์ไว้มาก (กำไรต่อหุ้นสูงกว่าที่คาด) ส่งผลให้ราคาหุ้น TESLA พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และลากเอาหุ้นใน กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และ กลุ่มเทคโนโลยี ตัวอื่นๆ พลอยปรับตัวขึ้นตามไปด้วย นี่คือภาพชัดๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ผลประกอบการ ของ บริษัท เดียว (ที่ใหญ่พอ) สามารถสร้าง Sentiment เชิงบวก และขับเคลื่อน ตลาดหุ้น ทั้งกลุ่มให้คึกคักขึ้นมาได้เลยครับ

ดังนั้น นอกจากเรื่อง ตลาดหุ้น สหรัฐ เปิดกี่โมง แล้ว การติดตามข่าวสาร ผลประกอบการ ของ บริษัท ที่เราสนใจ หรือ บริษัท ใหญ่ๆ ใน ตลาดฯ ก็เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้เลยนะครับ

**อยากลงทุนใน หุ้น สหรัฐอเมริกา จาก ประเทศไทย ทำได้ง่ายกว่าที่คิด**

มาถึงคำถามที่ว่า “แล้วถ้าอยากลงทุนใน หุ้น สหรัฐอเมริกา บ้างล่ะ ทำยังไงดี?” สมัยนี้บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องยากหรือไกลตัวอีกต่อไปแล้วครับ นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึง ตลาดหุ้น สหรัฐ ได้ง่ายมากๆ ด้วยช่องทางที่หลากหลาย

จากข้อมูลที่เรามี ตอนนี้มีหลายแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ นักลงทุน รายย่อยในไทยสามารถ ซื้อขาย หุ้น สหรัฐอเมริกา ได้โดยตรงด้วย เงินบาท หรือ สกุลเงิน ดอลลาร์สหรัฐฯ ครับ ยกตัวอย่างเช่นผ่านแอปพลิเคชัน Dime! ของ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายสำหรับคนทั่วไป

จุดเด่นของแพลตฟอร์มแบบนี้คือ:

* **เริ่มต้นได้ด้วยเงินน้อย:** บางแพลตฟอร์มให้เริ่มต้นลงทุนได้แค่หลักสิบ เงินบาท หรือแค่ 1.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้นครับ (จากข้อมูลคือเริ่มต้นที่ 50 บาท หรือ 1.50 USD) ทำให้ทุกคนสามารถลองเริ่มลงทุนได้โดยไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่
* **ลงทุนด้วย เงินบาท ได้เลย:** ระบบจะจัดการเรื่องการแลก สกุลเงิน ให้เองโดยอัตโนมัติ (อย่างใน Dime! ก็แลกผ่าน ธนาคารเกียรตินาคินภัทร) ทำให้สะดวกมากๆ ไม่ต้องยุ่งยากไปแลกเงินเอง
* **มีฟีเจอร์ช่วยลงทุน:** อย่างฟีเจอร์ DCA (Dollar-Cost Averaging) หรือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน ที่ช่วยให้เราสามารถตั้งค่าให้ระบบ ซื้อขาย หุ้น ที่เราเลือกเป็นประจำตามที่เรากำหนด ไม่ต้องมานั่งจับจังหวะตลาดเอง เหมาะสำหรับคนที่อยากลงทุนระยะยาว
* ** ค่าธรรมเนียม ที่แข่งขันได้:** หลายแพลตฟอร์มเสนอ ค่าธรรมเนียม ที่เป็นมิตรกับ นักลงทุน รายย่อย เช่น อาจจะมีรายการ ซื้อขาย แรกต่อเดือนฟรี (ตามข้อมูลของ Dime!) ส่วนรายการถัดไปก็คิดเป็นต่อหุ้น หรือคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการ ซื้อขาย นอกจากนี้ยังมี ค่าธรรมเนียม มาตรฐานของ ตลาดหลักทรัพย์ สหรัฐฯ เช่น SEC Fee และ TAF Fee (อธิบายง่ายๆ คือ ค่าธรรมเนียม เล็กๆ น้อยๆ ที่หน่วยงานกำกับดูแลในอเมริกาเรียกเก็บ) ซึ่งแพลตฟอร์มจะแจ้งให้ทราบอย่างชัดเจน ที่สำคัญคือ ค่าธรรมเนียม ในการแลกเงิน โอนเงิน หรือการยื่นแบบภาษี W-8BEN (ฟอร์มสำหรับชาวต่างชาติเพื่อแจ้งสถานะทางภาษีกับสรรพากร สหรัฐฯ) อาจจะเป็น 0 บาท ทำให้ประหยัดไปได้เยอะ
* **แลกเงินได้รวดเร็ว:** บางแพลตฟอร์มมีบริการแลกเงินที่เรียกว่า “Fast” ที่ช่วยให้เราสามารถแลก สกุลเงิน ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ทันทีภายในวงเงินที่กำหนด ทำให้ไม่พลาดโอกาสในการ ซื้อขาย
* **สินทรัพย์ หลากหลาย:** ไม่ใช่แค่ หุ้น สามัญ (Common Stock) ตัวดังๆ เท่านั้น แต่เรายังสามารถลงทุนในตราสารอื่นๆ ได้ด้วย เช่น ADR (American Depositary Receipt) ซึ่งเป็น ตราสาร ที่ออกโดยธนาคารใน สหรัฐฯ เพื่อให้เรา ซื้อขาย หุ้น ของบริษัทต่างประเทศได้ง่ายขึ้น หรือ กองทุน ETF (Exchange Traded Fund) ซึ่งเป็น กองทุน รวมที่ ซื้อขาย ใน ตลาดหลักทรัพย์ เหมือน หุ้น และรวมเอา สินทรัพย์ หลากหลายประเภทไว้ด้วยกัน (เช่น กองทุน ETF ที่ลงทุนตาม ดัชนี NASDAQ 100 ก็คือรวม หุ้น 100 ตัวใหญ่ใน NASDAQ ไว้ใน กองทุน เดียว)
* **ซื้อขายนอกเวลาทำการได้:** แม้ ตลาดหุ้น สหรัฐ จะมีเวลาเปิด-ปิดที่แน่นอน (ตามที่เราคุยกันเรื่อง ตลาดหุ้น สหรัฐ เปิดกี่โมง) แต่หลายแพลตฟอร์มอนุญาตให้เราส่งคำสั่ง ซื้อขาย ล่วงหน้าได้ แม้ ตลาด จะยังไม่เปิด หรือปิดไปแล้ว คำสั่งของเราก็จะไปรอในระบบและดำเนินการเมื่อ ตลาด เปิดครับ

นอกจากนี้ การลงทุนใน หุ้น สหรัฐอเมริกา ผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ นักลงทุน ยังได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายของ สหรัฐฯ (โดยทั่วไปคุ้มครองโดย SIPC สูงสุดถึง 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรวมเงินสดและหลักทรัพย์) และบางแพลตฟอร์มอาจมีการคุ้มครองเพิ่มเติมจากพันธมิตร (เช่น จากข้อมูลมีกล่าวถึงการคุ้มครองเพิ่มเติมถึง 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ตรงนี้ก็ช่วยเพิ่มความสบายใจให้ นักลงทุน ได้ระดับหนึ่งครับ

**อีกทางเลือก: ลงทุนผ่าน กองทุนรวม ที่เน้น NASDAQ**

สำหรับใครที่ไม่ถนัดการเลือก หุ้น รายตัว หรือไม่สะดวกติดตามข่าวสาร ตลาดฯ ตลอดเวลา อีกทางเลือกที่น่าสนใจคือการลงทุนผ่าน กองทุนรวม ที่เน้นลงทุนใน ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ หรือ หุ้น ใน ดัชนี NASDAQ 100 ครับ

ปัจจุบันมี บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) ในไทยหลายแห่งที่มี กองทุน ลักษณะนี้ให้เลือก เช่น กองทุน K-USXNDQ-A(A) ของ บลจ. กสิกรไทย หรือ กองทุน KKP NDQ100-H ของ บลจ. เกียรตินาคินภัทร (ตามข้อมูลอ้างอิง) การลงทุนผ่าน กองทุนรวม ก็เหมือนมี ผู้จัดการเงินทุนบุคคล มืออาชีพมาช่วยบริหารจัดการพอร์ตให้เราครับ เพียงแต่อาจจะมี ค่าธรรมเนียม ในส่วนของ กองทุน เพิ่มเติม และความยืดหยุ่นในการ ซื้อขาย จะน้อยกว่าการ ซื้อขาย หุ้น รายตัวโดยตรง

การเลือกวิธีลงทุนก็ขึ้นอยู่กับสไตล์ ความรู้ และเวลาที่เรามีนะครับ ถ้าชอบศึกษาเอง ติดตามข่าวสาร และอยากเลือก หุ้น เอง การ ซื้อขาย ผ่านแพลตฟอร์มโดยตรงอาจจะเหมาะกว่า แต่ถ้าไม่มีเวลา หรืออยากให้มืออาชีพจัดการให้ กองทุนรวม ที่เน้น ตลาดหุ้น สหรัฐ หรือ NASDAQ ก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ

**สรุปส่งท้าย: รู้เวลา รู้โอกาส ใน ตลาดหุ้น สหรัฐ**

การรู้ว่า ตลาดหุ้น สหรัฐ เปิดกี่โมง เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ แต่สำคัญมากๆ สำหรับการเดินทางในโลกของการลงทุนต่างประเทศครับ เพราะเวลาที่แตกต่างกันทำให้เราต้องปรับตัว และวางแผนการ ซื้อขาย ให้เหมาะสม

ปัจจุบันการลงทุนใน ตลาดหุ้น สหรัฐอเมริกา ไม่ใช่เรื่องยากหรือไกลตัวอีกต่อไปแล้ว นักลงทุนไทยมีเครื่องมือและช่องทางที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิมมาก ทั้งการ ซื้อขาย หุ้น รายตัวโดยตรงผ่านแอปพลิเคชันที่เริ่มต้นได้ด้วยเงินน้อย มีฟีเจอร์ช่วยลงทุน และ ค่าธรรมเนียม ที่เข้าถึงง่าย ไปจนถึงการลงทุนผ่าน กองทุนรวม ที่เน้น ตลาดฯ สหรัฐ

สิ่งสำคัญที่สุดคือ การศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจธรรมชาติของ ตลาดหุ้น สหรัฐ ที่มีปัจจัยขับเคลื่อนแตกต่างจาก ตลาดหุ้น ไทย รวมถึงความผันผวนของราคาที่อาจเกิดขึ้นได้จากการประกาศ ผลประกอบการ ข่าวสารต่างๆ หรือแม้แต่ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค

⚠️ โปรดจำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ โดยเฉพาะการลงทุนใน ตลาดต่างประเทศ ที่อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และปัจจัยเฉพาะของประเทศนั้นๆ หากสภาพคล่องเงินทุนไม่สูง หรือยังเป็น นักลงทุน มือใหม่มากๆ ควรประเมินความเสี่ยงของตัวเองและพิจารณาเริ่มจากเงินจำนวนน้อย หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนนะครับ

หวังว่าบทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยเรื่อง ตลาดหุ้น สหรัฐ เปิดกี่โมง และเปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับการลงทุนใน ตลาดหุ้น สหรัฐอเมริกา ให้กับเพื่อนๆ นักลงทุน นะครับ ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างมีความรู้และประสบความสำเร็จครับ!