เพื่อนๆ ครับ เคยสงสัยไหมว่า ทำไมใครๆ ก็พูดถึงเรื่อง “หุ้น” กันจัง? เห็นคนรอบตัวบ้างก็ว่ารวยบ้างก็ว่าเจ๊ง แล้วไอ้คำว่า “วิธีการเทรดหุ้น” เนี่ย มันคืออะไรกันแน่? เราซึ่งเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ หรือเป็นนักศึกษาเพิ่งเริ่มทำงาน จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกนี้ได้ยังไง?
ไม่ต้องกังวลครับ ในฐานะคนที่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มาพอสมควร และเห็นทั้งคนที่ประสบความสำเร็จและคนที่ยังต้องเรียนรู้อีกมาก วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่อง วิธีการเทรดหุ้น ในแบบที่เข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกันหลังเลิกงาน ให้คุณเห็นภาพรวมทั้งหมด ตั้งแต่ศูนย์จนถึงเริ่มเดินได้ ว่าจริงๆ แล้วโลกของหุ้นมันทำงานยังไง และเราจะเริ่มต้นกับมันได้ยังไงบ้างครับ

ลองนึกภาพง่ายๆ นะครับ “หุ้น” ก็เหมือนกับการที่เราเอาเงินไปร่วมเป็นเจ้าของร้านค้าใหญ่ๆ สักร้านหนึ่ง บริษัทที่เราเห็นชื่อในตลาดหลักทรัพย์ฯ เนี่ย เขาก็ระดมเงินจากคนทั่วไปอย่างเราๆ นี่แหละ เพื่อเอาไปขยายกิจการ พอเราซื้อหุ้น เราก็จะได้สิทธิ์ความเป็น “เจ้าของร่วม” เล็กๆ น้อยๆ ได้แบ่งกำไรกับเขาบ้างในรูปของ “เงินปันผล” แล้วก็ได้สิทธิ์ออกเสียงในเรื่องสำคัญๆ ของบริษัทด้วย ส่วน “ตลาดหุ้น” ก็คือสถานที่กลางๆ หรือระบบที่เราสามารถไปซื้อขายเปลี่ยนมือความเป็นเจ้าของเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้กันนั่นแหละครับ มีทั้งหุ้นสามัญที่ให้สิทธิ์ออกเสียงเต็มที่ กับหุ้นบุริมสิทธิที่อาจมีสิทธิ์พิเศษบางอย่าง เช่น ได้เงินปันผลก่อน แต่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง การที่เราซื้อๆ ขายๆ หุ้นนี่แหละ คือ “วิธีการเทรดหุ้น” โดยหวังว่าจะทำกำไรจากราคาที่มันขึ้นๆ ลงๆ นั่นเอง
ถ้าจะเริ่มต้นจริงๆ ไม่ใช่แค่พุ่งเข้าไปซื้อเลยนะครับ ต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจตัวเองก่อนเลย ว่าเราจะลงทุนไปเพื่ออะไร? เก็บเงินก้อนไว้ใช้ตอนแก่? อยากให้เงินทำงานงอกเงย? หรือแค่อยากลองเก็งกำไรสั้นๆ? การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยกำหนด วิธีการเทรดหุ้น ของเราได้ครับ ถัดมาคือ “การศึกษา” ครับ โลกของหุ้นมีอะไรให้เรียนรู้เยอะมาก ทั้งพื้นฐานบริษัท ข่าวสารบ้านเมือง หรือแม้แต่ดูจากกราฟราคา ซึ่งปัจจุบันแหล่งเรียนรู้ดีๆ ก็หาไม่ยากเลยครับ อย่างเช่น e-Learning ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือเว็บไซต์ของ SET เอง (www.set.or.th) ก็มีข้อมูลเพียบเลย จากนั้นก็ต้องเข้าใจ “ความเสี่ยง” ด้วยนะครับ การลงทุนในหุ้นมีโอกาสได้กำไร ก็มีโอกาสขาดทุนเช่นกัน ไม่ใช่เงินฝากธนาคารนะครับ เมื่อเข้าใจแล้ว ก็ไป “เปิดบัญชีซื้อขายหุ้น” กับบริษัทหลักทรัพย์ที่เราสะดวกได้เลยครับ เดี๋ยวนี้ทำออนไลน์ก็ง่ายมาก แล้วก็ลอง “เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อยๆ” ดูก่อน เพื่อให้คุ้นเคยกับระบบและวิธีการเทรดหุ้นจริงๆ ครับ ลองใช้เครื่องมือซื้อขายอย่างแอป Settrade Streaming ดู มันเหมือนเป็นหน้าร้านให้เราซื้อขายได้เลย

เรื่องสำคัญอีกอย่างที่มาพร้อมกับ วิธีการเทรดหุ้น คือ “การวางแผนและการบริหารความเสี่ยง” ครับ อย่าเอาเงินเก็บทั้งหมดที่มีมาลงหุ้นนะครับ แบ่งมาแค่ส่วนที่เราพร้อมจะลงทุนและรับความเสี่ยงได้ หัวใจสำคัญของการลดความเสี่ยงคือ “การกระจายความเสี่ยง” ครับ อย่าใส่เงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียว เหมือนกับที่ผู้ใหญ่บอกว่าอย่าเอาไข่ทั้งหมดใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว เพราะถ้าตะกร้าตก ไข่แตกหมด! เราอาจจะกระจายไปลงทุนในหุ้นหลายๆ ตัว หลายๆ อุตสาหกรรม หรือจะลองดูผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่อิงกับหุ้นก็ได้ครับ เช่น DR/DRx ที่ให้เราลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย หรือ DW ที่เป็นตราสารอนุพันธ์อ้างอิงราคาหุ้นตัวอื่น ซึ่งพวกนี้ก็จะมีความเสี่ยงและลักษณะที่แตกต่างกันไปครับ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงอีกหลายแบบที่เราต้องรู้ เช่น ความเสี่ยงด้านราคา (ผันผวน), สภาพคล่อง (อาจจะขายยากถ้าไม่มีคนซื้อ), ความเสี่ยงด้านธุรกิจ (บริษัทมีปัญหา), ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ (เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย) และที่สำคัญคือ ความเสี่ยงจาก “ตัวเราเอง” นั่นแหละครับ ตัดสินใจผิดพลาดเพราะอารมณ์ วิธีจัดการก็คือ นอกจากกระจายความเสี่ยงแล้ว ต้องวางแผนจุดเข้า จุดออก จุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ให้ชัดเจน ศึกษาข้อมูลให้ดี ติดตามข่าวสาร และฝึกฝนควบคุมอารมณ์ตัวเองครับ
แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าจะซื้อหุ้นตัวไหนดี? นี่แหละคืออีกส่วนของ วิธีการเทรดหุ้น ที่ต้องใช้ “การวิเคราะห์” ครับ มีสองสายหลักๆ ที่นิยมใช้กันคือ
1. **การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis):** เหมือนเราสวมบทนักสืบเข้าไปดูสุขภาพบริษัทครับ ดูว่าบริษัทมีรายได้ กำไรดีไหม มีหนี้เยอะไปหรือเปล่า ดูจาก “งบการเงิน” “ผลประกอบการ” หรือดูจาก “อัตราส่วน P/E Ratio” ว่าราคาหุ้นตอนนี้ถูกหรือแพงเทียบกับกำไรที่บริษัททำได้ วิธีนี้เหมาะกับคนที่ตั้งใจลงทุนระยะยาวครับ
2. **การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis):** สายนี้จะดูจาก “พฤติกรรมราคา” และ “ปริมาณการซื้อขาย” ในอดีตครับ ดูจาก “กราฟราคา” ใช้ “อินดิเคเตอร์” หรือเครื่องมือคำนวณทางสถิติอย่าง Moving Average, MACD, RSI เพื่อหาแนวโน้มและจังหวะในการซื้อขายครับ วิธีนี้เหมาะกับคนที่เน้นการเทรดระยะสั้นถึงกลางเพื่อเก็งกำไรจากรอบราคา
พอรู้ วิธีการวิเคราะห์ แล้ว ทีนี้ก็มาถึง “กลยุทธ์หรือสไตล์การเทรด” ซึ่งก็มีหลายแบบให้เลือกตามเป้าหมายและเวลาที่เรามีครับ
* **ลงทุนแบบพื้นฐาน (Value Investing):** ซื้อหุ้นดีๆ ที่ราคาถูกกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น แล้วถือยาวๆ รอให้ราคาขึ้นตามพื้นฐาน เหมาะกับคนที่มีเวลาศึกษาบริษัทและใจเย็นครับ
* **DCA (Dollar Cost Average):** วิธีนี้ง่ายมาก คือการทยอยซื้อหุ้นตัวเดิมด้วยจำนวนเงินเท่าๆ กันทุกงวด ไม่ว่าราคาจะขึ้นจะลง เป็นการสร้างวินัยและถัวเฉลี่ยต้นทุน เหมาะกับคนที่มีเงินเดือนประจำและอยากลงทุนสม่ำเสมอ เน้นถือยาวครับ
* **Day Trade:** ซื้อปุ๊บขายปั๊บ จบในวันเดียว ไม่ถือข้ามคืน เน้นทำกำไรจากส่วนต่างราคาเล็กๆ ที่ผันผวนในระหว่างวัน วิธีการเทรดหุ้นแบบนี้ต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็ว ติดตามตลาดตลอดเวลา และมีความเสี่ยงสูงมากครับ
* **Trend Following:** เทรดตามแนวโน้มราคาครับ ถ้าหุ้นกำลังเป็นขาขึ้นก็ซื้อ ถ้าเป็นขาลงก็ขาย ไม่ได้เน้นดูพื้นฐานเท่าไหร่ เน้นจับคลื่นลูกใหญ่ๆ ครับ
* **Momentum Trading:** ซื้อหุ้นที่กำลังมีแรงเหวี่ยงราคาขึ้นไปแรงๆ มี “ปริมาณการซื้อขาย” สูงๆ หวังทำกำไรเร็วๆ ครับ
* **Swing Trading:** รอจังหวะที่ราคาหุ้นย่อตัวลงมาแล้วค่อยเข้าซื้อ แล้วถือไว้ไม่นาน รอให้ราคาเด้งขึ้นไปแล้วค่อยขาย ทำกำไรเป็นรอบๆ ใช้เวลาถือตั้งแต่ไม่กี่วันถึงไม่กี่สัปดาห์ครับ

วิธีการเทรดหุ้น แต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ไม่มีวิธีไหนถูกหรือผิดทั้งหมดครับ สิ่งสำคัญคือต้องเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับนิสัย ไลฟ์สไตล์ และระดับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้
สุดท้ายแล้ว นอกจากความรู้เรื่อง วิธีการเทรดหุ้น เครื่องมือ หรือกลยุทธ์ต่างๆ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ และหลายคนมองข้ามไปคือ “สภาพจิตใจ” ครับ ตลาดหุ้นมันขึ้นๆ ลงๆ ได้ทุกวัน ความโลภก็อยากให้ซื้อเยอะๆ ตอนหุ้นกำลังขึ้น ความกลัวก็อยากให้ขายทิ้งตอนหุ้นลงแรงๆ เราต้องมี “วินัย” ครับ ทำตามแผนที่วางไว้ ควบคุมอารมณ์ให้ได้ และที่สำคัญคือ “ทำใจยอมรับการขาดทุน” ให้เป็นส่วนหนึ่งของเกมครับ การลงทุนไม่มีใครถูก 100% ตลอดเวลา
สรุปง่ายๆ ครับ การเริ่มต้น วิธีการเทรดหุ้น ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับมือใหม่ครับ แต่ต้องเริ่มให้ถูกทาง นั่นคือ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ศึกษาหาความรู้จากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น SET ทำความเข้าใจความเสี่ยงและรู้วิธีบริหารจัดการมัน เลือกลงทุนในแบบที่เหมาะกับตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือ มีวินัยในการลงทุนและควบคุมอารมณ์ให้ได้ครับ
⚠️ จำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ เริ่มจากเงินน้อยๆ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ ประสบการณ์จะสอน วิธีการเทรดหุ้น ที่ดีที่สุดให้คุณเองครับ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการเดินทางในโลกของหุ้นนะครับ!