เคยไหมครับ… เวลาจะเริ่มลงทุนทีไร ก็รู้สึกสับสนว่าจะเข้าซื้อตอนไหนดี? ราคานี้แพงไปไหม? หรือควรรอให้ลงอีกหน่อย? ปัญหาโลกแตกนี้ทำเอาหลายคนพลาดโอกาสดีๆ ไป หรือบางทีก็เผลอ ‘เข้าดอย’ ไปซะอย่างนั้น ไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไมหลายคนถึงค้นหาข้อมูลอย่าง dca คือ pantip เพื่อหาแนวทางลงทุนง่ายๆ ที่ไม่ต้องปวดหัวกับการจับจังหวะตลาดขนาดนั้น

หนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนที่ได้รับการพูดถึงอย่างมาก และช่วยแก้ปัญหานี้ได้ดีทีเดียว นั่นก็คือ การลงทุนแบบ DCA หรือ Dollar-Cost Averaging นั่นเองครับ DCA คืออะไร? ทำไมถึงเหมาะกับนักลงทุนหลายๆ คน โดยเฉพาะมือใหม่ แล้วมีข้อดีข้อจำกัดอะไรบ้าง วันนี้เราจะมาคุยกันแบบสบายๆ สไตล์คนคุ้นเคยกันครับ
แล้ว DCA มันคืออะไรกันแน่? เอาแบบบ้านๆ เลยนะครับ มันคือการลงทุนด้วยเงินจำนวน ‘เท่าเดิม’ อย่าง ‘สม่ำเสมอ’ ใน ‘ช่วงเวลาที่กำหนด’ โดยที่เราไม่ต้องไปสนใจเลยว่า ณ ตอนนั้นราคาของสินทรัพย์ที่เราจะซื้อมันจะขึ้นหรือลง แค่ถึงเวลาก็ซื้อตามแผน เป๊ะๆ ทำให้เกิดกลไกที่เรียกว่า ‘การถัวเฉลี่ยต้นทุน’ (Cost Averaging) ไปโดยปริยาย
ทำไมต้องทำแบบนี้? ก็เพราะตลาดหุ้นหรือตลาดสินทรัพย์อื่นๆ เนี่ย มันมีขึ้นมีลงตลอดเวลา การที่เราพยายามจะจับจังหวะ ‘ซื้อให้ถูกที่สุด’ (Buy the Dip) หรือ ‘ขายให้แพงที่สุด’ (Sell the Peak) เนี่ย มันยากมากครับ ขนาดกูรูระดับโลกยังทำพลาดเลย แล้วเราที่เป็นนักลงทุนทั่วไปจะไปทำได้แม่นยำขนาดไหน? ที่สำคัญคือ อารมณ์ ‘กลัว’ กับ ‘โลภ’ นี่แหละตัวการสำคัญ พอตลาดลงเยอะๆ ก็กลัวไม่กล้าซื้อ พอตลาดขึ้นแรงๆ ก็กลัวตกรถรีบไปไล่ซื้อแพงๆ DCA นี่แหละครับ ช่วยตัดปัญหาเรื่องอารมณ์เหล่านี้ออกไปได้เยอะเลย เพราะเรากำหนดไว้แล้วว่าจะซื้อเท่านี้ เวลานี้ ไม่ว่าราคาจะเป็นยังไง มันก็เหมือนเวลาเราเติมน้ำมันนั่นแหละครับ บางทีน้ำมันขึ้นเราก็เติมเท่าเดิม บางทีน้ำมันลงเราก็เติมเท่าเดิม ไม่ได้มานั่งรอว่าเมื่อไหร่จะถูกที่สุดแล้วค่อยเติมทีเดียว
ข้อดีอันดับแรกเลยคือ มันช่วย ‘สร้างวินัย’ ในการลงทุนให้เราครับ เหมือนบังคับกลายๆ ว่าถึงเวลาแล้วต้องแบ่งเงินมาลงทุนนะ อย่างน้อยเดือนละครั้งตามที่เราตั้งแผนไว้ ความสม่ำเสมอนี่แหละคือกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว

ถัดมาคือเรื่อง ‘ลดความเสี่ยงและความผันผวนของพอร์ต’ ครับ ไม่ใช่ว่าจะลดความเสี่ยงทั้งหมดนะ แต่หลักๆ คือลดความเสี่ยงจากการ ‘จับจังหวะผิด’ (Market Timing) ถ้าเราเอาเงินก้อน (Lump Sum) ไปซื้อตอนยอดดอยพอดี ก็อาจจะเจ็บหนัก แต่พอเราทยอยซื้อ ต้นทุนเราก็จะเฉลี่ยๆ กันไป ทั้งตอนที่ราคาขึ้นและตอนที่ราคาลง ทำให้ต้นทุนโดยรวมเรามักจะไม่ใช่จุดสูงสุด หรือจุดต่ำสุดไปเลย ลองนึกถึงช่วงโควิด-19 ปี 2020 ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนรุนแรง ดัชนี S&P500 ก็ร่วงหนัก ถ้าเราซื้อเงินก้อนตอนก่อนร่วง อาจจะติดดอยยาว แต่ถ้าทำ DCA ต้นทุนเราจะค่อยๆ เฉลี่ยลงมาเมื่อตลาดเริ่มฟื้นตัว ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนได้ในภาพรวม
และที่ดีมากๆ สำหรับมือใหม่ หรือคนเพิ่งเริ่มทำงานคือ ‘ใช้เงินทุนไม่มาก’ ครับ เริ่มต้นแค่หลักร้อยบาทต่อเดือนก็ทำได้แล้ว อย่างธนาคารกสิกรไทย หรือ บลจ. หลายแห่งก็มีบริการที่ให้เริ่ม DCA ได้ด้วยเงินจำนวนน้อยๆ เลยครับ คุณภาณุวัฒน์ อิงคะสุวณิชย์ จาก SCBS CIO เคยให้มุมมองว่า DCA เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะกับการสะสมความมั่งคั่งระยะยาว โดยอาศัยพลังของการทบต้นและการลดความเสี่ยงจากความผันผวนในระยะสั้น
ไม่ต้องกังวลเรื่องจังหวะเข้าลงทุนเลย อยากเริ่มเมื่อไหร่ก็ได้ แค่เริ่มให้สม่ำเสมอ ที่เจ๋งอีกอย่างคือ เวลาที่ราคาหุ้นหรือกองทุนที่เราซื้อ ‘ปรับตัวลดลง’ ด้วยเงินเท่าเดิม เราจะได้ ‘จำนวนหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น’ ครับ! นี่แหละคือเสน่ห์ของการถัวเฉลี่ยต้นทุน คือเราได้สะสมของดีๆ ในราคาที่ถูกลงโดยอัตโนมัติ ตรงนี้คือข้อได้เปรียบของการซื้อแบบ DCA ในช่วงที่ตลาดเป็นขาลงหรือผันผวน
แต่ DCA ก็ไม่ใช่ยาวิเศษที่ไร้ข้อจำกัดนะครับ ข้อเสียที่คนพูดถึงบ่อยๆ คือ ‘ผลตอบแทนอาจจะน้อยกว่า’ ถ้าบังเอิญตลาดเป็น ‘ขาขึ้น’ หรือ ‘ตลาดกระทิง’ แบบยาวนานไม่มีหยุดเลย ถ้าเรามีเงินก้อน แล้วเอาไปลงทุนตั้งแต่ต้นทางตอนที่ตลาดยังไม่แพง ผลตอบแทนทบต้นของเราจะพุ่งแรงกว่าการทยอยซื้อแบบ DCA แน่นอนครับ ตรงนี้ต้องยอมรับว่าเป็นโอกาสที่เสียไป (Opportunity Cost) ในตลาดขาขึ้นที่แข็งแกร่งมากๆ
อีกเรื่องคือ DCA ‘ไม่ได้ลดความเสี่ยงทุกประเภท’ นะครับ มันช่วยเรื่อง Market Timing หรือความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาดเท่านั้น แต่ความผันผวนโดยรวมของมูลค่าพอร์ต หรือความเสี่ยงที่สินทรัพย์นั้นๆ จะไม่เติบโตเลยในระยะยาว อันนี้ DCA ช่วยไม่ได้ครับ และผลของการถัวเฉลี่ยต้นทุนจะเห็นผลชัดเจนที่สุดในช่วงแรกๆ ของการลงทุน พอพอร์ตใหญ่ขึ้น อิทธิพลของการซื้อแต่ละครั้งก็จะลดลง
แน่นอนว่านี่คือกลยุทธ์ ‘ระยะยาว’ ต้องใช้เวลาครับ จะเห็นผลตอบแทนที่น่าพอใจอาจจะต้องใช้เวลาหลายปี ไม่ใช่ทำแค่ 2-3 เดือนแล้วจะเห็นความต่างชัดเจนอะไรขนาดนั้น เหมือนปลูกต้นไม้ ต้องใช้เวลาในการเติบโต

และถึงจะบอกว่าเหมาะกับมือใหม่ แต่คุณก็ยังคงต้องมีความรู้พื้นฐานในการ ‘เลือกสินทรัพย์’ ที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาวนะครับ ไม่ใช่ว่า DCA กับอะไรก็ได้ ถ้าไป DCA กับหุ้นที่ไม่มีอนาคต หรือกองทุนที่ไม่ดีในระยะยาว ผลตอบแทนก็คงไม่สวยงามตามที่คาดหวังได้
สุดท้ายคือ DCA ‘ไม่เหมาะกับสินทรัพย์ทุกชนิด’ ครับ สินทรัพย์ที่ราคาไม่ค่อยขยับ หรือเป็นวัฏจักรมากๆ อาจจะไม่เหมาะกับการทำ DCA เท่าไหร่ ควรเลือกสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาวและมีความผันผวนพอสมควร เช่น กองทุนดัชนี (Index Fund) ที่อิงตามตลาดโดยรวมอย่าง SET50, หุ้น Blue chip คุณภาพดี หรือกองทุนเพื่อการลดหย่อนภาษีอย่าง SSF/RMF ที่บังคับให้เราลงทุนต่อเนื่องอยู่แล้ว ซึ่งแหล่งข้อมูลอย่าง SCBS CIO, FINNOMENA หรือ PeerPower ก็แนะนำสินทรัพย์กลุ่มนี้ครับ
แล้ว DCA นี่เหมาะกับใครล่ะ? ถ้าคุณเป็น ‘นักลงทุนมือใหม่’ ที่ยังไม่มั่นใจเรื่องการจับจังหวะ หรือ ‘ไม่มีเวลาติดตามตลาด’ ตลอดเวลา หรืออยาก ‘สร้างวินัย’ การออมและการลงทุนให้กับตัวเอง DCA คือทางเลือกที่ดีมากๆ ครับ เป็นวิธีที่เข้าถึงง่าย ช่วยลดความกังวลในการเริ่มลงทุนได้เยอะเลย หรือแม้แต่นักลงทุนที่มีประสบการณ์แล้ว ก็ยังสามารถใช้ DCA เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เพื่อลดความเสี่ยงด้านจังหวะเข้าซื้อสำหรับสินทรัพย์บางประเภทได้
สำหรับใครที่สนใจอยากเริ่มทำ DCA ก็ไม่ได้ยากครับ ลองเริ่มจาก 3 ขั้นตอนง่ายๆ ที่ทาง บลจ.กสิกรไทย หรือ Krungthai NEXT ก็แนะนำคล้ายๆ กันครับ: 1. ‘สำรวจความสามารถทางการเงิน’ ของตัวเองก่อน กำหนดวงเงินที่ลงทุนได้สบายๆ ทุกเดือน โดยไม่กระทบสภาพคล่อง 2. ‘เลือกช่วงเวลาลงทุน’ จะเป็นทุกสัปดาห์ ทุกเดือน หรือทุกไตรมาส ก็แล้วแต่สะดวก แต่เน้นที่ ‘สม่ำเสมอ’ และ 3. ‘เลือกหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์’ ที่จะลงทุน ซึ่งอย่างที่บอกว่าควรเป็นสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มเติบโตระยะยาวและมีความผันผวนพอประมาณ เพื่อให้กลไกการถัวเฉลี่ยต้นทุนทำงานได้ดีครับ
สรุปแล้ว การลงทุนแบบ DCA หรือที่หลายคนอาจหาข้อมูลว่า dca คือ pantip เนี่ย มันคือกลยุทธ์ที่เน้นความเรียบง่าย มีวินัย และลดความเสี่ยงเรื่องจังหวะเข้าตลาด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของนักลงทุนจำนวนมาก เหมาะมากๆ โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งเริ่มต้น หรือไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอ แต่จำไว้ว่านี่คือเกมระยะยาว ต้องใช้เวลา และการเลือกสินทรัพย์ที่ดีก็ยังคงเป็นหัวใจสำคัญครับ เหมือนคำกล่าวที่ว่า DCA คือการลงทุนในเวลา ไม่ใช่การจับจังหวะตลาด
⚠️ ข้อควรระวัง: การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ DCA ช่วยลดความเสี่ยงด้านจังหวะตลาด แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่ขาดทุนนะครับ มูลค่าสินทรัพย์ยังคงผันผวนตามกลไกตลาด และถ้าสภาพคล่องทางการเงินของคุณไม่สูงมากนัก ควรประเมินให้รอบคอบก่อนเริ่มลงทุนด้วยวงเงินที่เหมาะสมครับ อย่าลงทุนจนตัวเองเดือดร้อนในยามฉุกเฉิน
แพลตฟอร์มการลงทุนหลายแห่งในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแอปของธนาคาร บลจ. หรือแม้แต่โบรกเกอร์ต่างประเทศบางแห่งอย่าง Moneta Markets ก็มีบริการหรือฟังก์ชันที่รองรับการทำ DCA ได้ง่ายขึ้น ลองศึกษาดูครับว่าแบบไหนเหมาะกับสไตล์และความสะดวกของคุณ แล้วเริ่มสร้างวินัยการลงทุนระยะยาวตั้งแต่วันนี้กันครับ