
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางธุรกิจถึงดูคล่องตัว จ่ายบิลได้สบายๆ มีเงินสดในมือพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ ในขณะที่บางธุรกิจกลับดูฝืดเคือง หมุนเงินแทบไม่ทัน ปัญหาเหล่านี้ส่วนหนึ่งซ่อนอยู่ในสิ่งที่นักบัญชีและนักการเงินเขาเรียกว่า “สินทรัพย์หมุนเวียน” ซึ่ง สินทรัพย์ หมุนเวียน หมาย ถึง หัวใจสำคัญที่บอกสุขภาพทางการเงินระยะสั้นของกิจการเลยทีเดียว
ลองนึกภาพธุรกิจเหมือนร่างกายคนเรา สินทรัพย์หมุนเวียนก็เหมือนเลือดที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย ช่วยนำพาออกซิเจน (เงินสด) ไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ให้ทำงานได้อย่างราบรื่น ถ้าเลือดน้อย หรือไหลเวียนไม่ดี ร่างกายก็อ่อนแอ ธุรกิจเองก็เช่นกัน ถ้าสินทรัพย์หมุนเวียนมีน้อย หรือบริหารจัดการไม่ดี ก็อาจเจอปัญหาสภาพคล่องขึ้นมาได้ง่ายๆ
สินทรัพย์ หมุนเวียน หมาย ถึง ทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูงปรี๊ด สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว โดยปกติจะอยู่ในช่วงเวลาไม่เกิน 1 ปี หรือภายในรอบระยะเวลาดำเนินงานปกติของกิจการ (แล้วแต่ว่าอย่างไหนจะนานกว่ากัน แต่ส่วนใหญ่ก็คิดที่ 1 ปีนี่แหละครับ) ทรัพย์สินพวกนี้สำคัญมากๆ เพราะเป็นเหมือนกระสุนดินดำเอาไว้ใช้จ่ายประจำวัน เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ และที่สำคัญคือเอาไว้ชำระหนี้ระยะสั้นที่จะครบกำหนดในไม่ช้านี้แหละ
ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินมักจะบอกว่า การมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานเลยนะ เพราะมันช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดได้ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน รองรับค่าใช้จ่ายที่โผล่มาแบบไม่คาดฝัน หรือแม้แต่เอาตัวรอดในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เหมือนมีเงินสำรองฉุกเฉินในกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา
ทีนี้มาดูกันว่า ไอ้เจ้าสินทรัพย์หมุนเวียนเนี่ย มันมีหน้าตาแบบไหนบ้าง มีสมาชิกกี่ประเภทหลักๆ ในวงการบัญชีเขาแบ่งกันได้หลายแบบ แต่ถ้าเอาที่พบบ่อยๆ และเข้าใจง่ายๆ ก็มีประมาณนี้แหละครับ
หนึ่งล่ะ **เงินสด** (Cash) อันนี้ไม่ต้องอธิบายเยอะ คือเงินในมือ ในลิ้นชัก หรือเช็คที่ครบกำหนดแล้ว สภาพคล่องสูงสุด ไม่มีอะไรเกินเงินสดแล้ว ณ จุดนี้
สอง **เงินฝากธนาคารและรายการเทียบเท่าเงินสด** (Bank Deposits & Cash Equivalents) พวกเงินในบัญชีออมทรัพย์ กระแสรายวัน ที่ถอนได้ตลอดเวลา รวมถึงเงินลงทุนที่มีสภาพคล่องสูงมากๆ เปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็วปรู๊ดปร๊าดในระยะเวลาอันสั้น (ปกติไม่เกิน 3 เดือน) พวกนี้ก็เหมือนเงินสดนั่นแหละ อยู่ในแบงก์ให้ปลอดภัยหน่อย

สาม **เงินลงทุนระยะสั้น** (Short-term Investments) คือการเอาเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์อื่นเพื่อหวังผลตอบแทนหรือเก็งกำไรในระยะเวลาอันสั้น (ไม่เกิน 1 ปี) เช่น ซื้อกองทุนรวมตลาดเงิน หรือหุ้นบางตัวที่กะว่าจะขายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า พวกนี้สภาพคล่องก็ยังสูงอยู่ แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะราคาผันผวนได้บ้างนะ ไม่ได้นิ่งเหมือนเงินสดหรือเงินฝาก
สี่ **ลูกหนี้การค้า** (Accounts Receivable) อ๊ะ! มาถึงอันนี้ที่หลายธุรกิจน่าจะคุ้นเคยดี ก็คือเงินที่ลูกค้าค้างชำระเราจากการขายสินค้าหรือบริการตามปกติในธุรกิจนี่แหละครับ สมมติเราขายส่งให้ร้านค้า แล้วให้เครดิตเทอมไป 30 วัน เงินที่ร้านค้าติดเราอยู่ก่อนครบกำหนด ก็คือลูกหนี้การค้าของเรานี่เอง ยิ่งขายดีแบบให้เครดิตเยอะๆ ลูกหนี้การค้าก็ยิ่งเยอะตามไปด้วย แต่ถ้าเยอะเกินไป แล้วเก็บเงินไม่ได้ หรือลูกค้างจ่ายนานๆ ก็จะกลายเป็นเงินจม ทำให้สภาพคล่องตึงมือได้
ห้า **ตั๋วเงินรับ** (Notes Receivable) คล้ายๆ ลูกหนี้การค้าแหละ แต่มาในรูปแบบของเอกสารที่เป็นทางการหน่อย ลูกค้าอาจจะออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้เรา โดยมีกำหนดชำระภายใน 1 ปี พวกนี้ก็ถือเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนเหมือนกัน เพราะมีกำหนดชำระคืนในระยะเวลาสั้นๆ
หก **สินค้าคงเหลือ** (Inventory) นี่ก็เป็นอีกก้อนใหญ่ในสินทรัพย์หมุนเวียนของธุรกิจซื้อมาขายไป หรือธุรกิจผลิตเลยครับ มันคือสินค้าสำเร็จรูปที่พร้อมขาย งานที่อยู่ระหว่างผลิต หรือวัตถุดิบที่ยังไม่ได้ใช้ ที่นอนรออยู่ในคลังนั่นแหละ การมีสินค้าคงเหลือจำนวนหนึ่งเป็นเรื่องปกติและจำเป็น เพื่อให้มีของพร้อมขายหรือพร้อมผลิต แต่ถ้าสินค้าค้างสต็อกเยอะผิดปกติ ขายไม่ออก หรือวัตถุดิบซื้อมาเยอะเกินความจำเป็น อันนี้แหละที่น่าเป็นห่วง เพราะเงินไปจมอยู่ที่สินค้าพวกนี้เยอะเกินไป อาจบ่งชี้ว่ามีปัญหาเรื่องการขาย หรือการบริหารจัดการสต็อกนะ นักลงทุนเขาก็จะดูตรงนี้ด้วย
เจ็ด **เงินให้กู้ยืมระยะสั้น** (Short-term Loans) อันนี้คือในมุมกลับกัน ถ้าธุรกิจเราใจดี มีเงินเหลือ แล้วไปปล่อยกู้ให้คนอื่น หรือบริษัทอื่น แล้วกำหนดชำระคืนภายใน 1 ปี เงินก้อนนี้ก็จัดเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนของเราครับ
แปด **รายได้ค้างรับ** (Accrued Income) คือรายได้ที่เราทำงานให้เขาไปแล้ว หรือให้เขาใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของเราไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงินสดจริงๆ เช่น ดอกเบี้ยเงินฝากที่ครบกำหนดแล้วแต่ยังไม่ถอน ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ให้เช่าซึ่งถึงกำหนดรับแล้วแต่ผู้เช่ายังไม่จ่าย พวกนี้คือเงินที่ควรจะได้รับในไม่ช้านี้แล้ว

เก้า **ค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้า** (Prepaid Expenses) อันนี้อาจจะฟังดูงงๆ ว่าค่าใช้จ่ายทำไมเป็นสินทรัพย์ ก็เพราะเราจ่ายเงินไปก่อนแล้ว แต่ยังไม่ได้รับประโยชน์จากค่าใช้จ่ายนั้นครบถ้วนภายในงวดบัญชีปัจจุบันไงครับ เช่น จ่ายค่าเบี้ยประกันล่วงหน้าไป 1 ปีเต็มๆ หรือจ่ายค่าเช่าออฟฟิศล่วงหน้าไป 3 เดือน ณ วันสิ้นงวดบัญชี ส่วนของค่าเบี้ยประกันหรือค่าเช่าที่เราจ่ายไปแล้วแต่ยังไม่หมดอายุการใช้งาน (ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์) ก็ถือเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนของเรา เพราะมันจะทยอยกลายเป็นค่าใช้จ่ายจริงในงวดบัญชีถัดๆ ไปภายใน 1 ปีนั่นเอง
สิบ **วัสดุสำนักงานและวัสดุสิ้นเปลือง** (Supplies & Consumable Materials) พวกของจุกจิกในออฟฟิศที่ซื้อมาตุนไว้ แล้วคาดว่าจะใช้หมดไปภายใน 1 ปี เช่น ปากกา กระดาษ ผงหมึก น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถส่งของ เหล่านี้ก็ถือเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนครับ
เห็นไหมครับว่าสมาชิกในกลุ่มสินทรัพย์หมุนเวียนนี่มีหลากหลายจริงๆ แต่ละตัวก็มีความสำคัญในตัวเอง การที่ธุรกิจมีสินทรัพย์หมุนเวียนพวกนี้อยู่ ก็เพื่อรองรับการดำเนินงานในระยะสั้นนี่แหละครับ
แล้วสินทรัพย์หมุนเวียนต่างจาก “สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน” ยังไง? ก็ต่างกันที่ความเร็วในการแปลงเป็นเงินสดและระยะเวลาการใช้งานเลยครับ สินทรัพย์ หมุนเวียน หมาย ถึง ของที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ไวใน 1 ปี แต่สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน (Non-current Assets) นี่สิ เป็นทรัพย์สินที่ตั้งใจจะใช้ในระยะยาว หรือเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ช้ากว่า 1 ปี เช่น ที่ดิน อาคาร โรงงาน เครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ รถยนต์ที่ใช้ในกิจการ เงินลงทุนระยะยาว หรือสิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า พวกนี้ซื้อมาเพื่อใช้งานสร้างรายได้ในระยะยาว ไม่ใช่เอาไว้ขายหรือเปลี่ยนเป็นเงินสดปุ๊บปั๊บ การบริหารจัดการก็ใช้แหล่งเงินทุนต่างกัน สินทรัพย์หมุนเวียนมักใช้เงินทุนระยะสั้น ส่วนสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนต้องใช้เงินทุนระยะยาวครับ
สำหรับนักลงทุน หรือเจ้าของธุรกิจเอง การดูตัวเลขสินทรัพย์หมุนเวียนอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องดูภาพรวมด้วยนะ โดยเฉพาะการเอาไปเทียบกับ “หนี้สินหมุนเวียน” (Current Liabilities) ซึ่งก็คือหนี้ที่ต้องจ่ายคืนภายใน 1 ปีนั่นแหละครับ ถ้าสินทรัพย์หมุนเวียนเรามีเยอะกว่าหนี้สินหมุนเวียนแบบมีนัยสำคัญ ก็แสดงว่าธุรกิจเรามีสภาพคล่องดีพอที่จะจ่ายหนี้ระยะสั้นได้สบายๆ เหมือนมีเงินในกระเป๋าเยอะกว่าบิลค่าใช้จ่ายที่จะครบกำหนดในเดือนนี้ แต่ถ้าสินทรัพย์หมุนเวียนน้อยกว่าหนี้สินหมุนเวียนมากๆ อันนี้ก็น่ากังวลแล้วครับ อาจจะหมุนเงินไม่ทันเอาได้
และอย่างที่บอกไปตอนต้น อย่าลืมมองไส้ในของสินทรัพย์หมุนเวียนด้วยนะ โดยเฉพาะลูกหนี้การค้ากับสินค้าคงเหลือสองตัวนี้ ถ้าตัวเลขพุ่งสูงผิดปกติ ทั้งๆ ที่ยอดขายไม่ได้เพิ่มตาม อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าเรากำลังมีปัญหา เช่น ปล่อยเครดิตเยอะไปจนเก็บเงินไม่ทัน (ลูกหนี้เยอะ) หรือผลิต/ซื้อสินค้ามาแล้วขายไม่ออก ของค้างสต็อกบาน (สินค้าคงเหลือเยอะ) ซึ่งสองอย่างนี้เท่ากับเงินทุนไปจมอยู่ตรงนั้น แทนที่จะเอาไปหมุนเวียนสร้างประโยชน์อย่างอื่นได้
สรุปแล้ว สินทรัพย์ หมุนเวียน หมาย ถึง กลุ่มทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูง เป็นเหมือนพลังขับเคลื่อนและตัวชี้วัดสุขภาพทางการเงินระยะสั้นของธุรกิจ การเข้าใจว่าสินทรัพย์หมุนเวียนคืออะไร มีอะไรบ้าง และดูมันในงบการเงินเป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญมากๆ ทั้งสำหรับเจ้าของกิจการที่จะได้บริหารสภาพคล่องได้ถูกจุด และสำหรับนักลงทุนที่จะใช้ประเมินความเสี่ยงและความแข็งแกร่งของบริษัทก่อนตัดสินใจลงทุน
⚠️ อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์สุขภาพทางการเงินที่ดีต้องดูงบการเงินทั้งหมด ทั้งงบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด ประกอบกันนะครับ อย่าตัดสินใจจากตัวเลขสินทรัพย์หมุนเวียนเพียงอย่างเดียว เพราะตัวเลขเดียวอาจไม่ได้บอกเรื่องราวทั้งหมดเสมอไปครับ
