
ช่วงนี้เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนถามว่า “ตลาดหุ้นเป็นยังไงบ้าง?” หรือบางทีก็ถามตรงๆ เลยว่า “มีหุ้นที่น่าลงทุนตอนนี้ไหม?” แหม… เข้าใจเลยครับว่าบรรยากาศช่วงนี้มันค่อนข้างจะนิ่งๆ ออกไปทางย่อตัวลงมาหน่อยๆ ทำให้นักลงทุนหลายคนอาจจะรู้สึกกังวล หรือกำลังมองหาจังหวะดีๆ ในการเข้าลงทุนอยู่
ถ้าดูจากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 1 มีนาคม 2568 ซึ่งเป็นวันทำการที่ตลาดหุ้นไทยปิดไป ดัชนี SET หรือที่เรียกกันติดปากว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ก็ปรับตัวลดลงไปเล็กน้อยครับ ประมาณ 12.01 จุด ปิดอยู่ที่ 1,203.72 จุด คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ลดลงไม่ถึง 1% ถือว่าไม่ได้ร่วงแรงอะไรมากมายนัก ส่วนดัชนีหลักอื่นๆ ที่เป็นตัวแทนหุ้นใหญ่ๆ อย่าง SET50 ก็ลดลงไป 8.72 จุด ปิดที่ 766.70 จุด และ SET100 ซึ่งใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็ลดลง 18.96 จุด ปิดที่ 1,659.98 จุด
มูลค่าการซื้อขายรวมในวันนั้นก็อยู่ที่ 74,536.25 ล้านบาท ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างเยอะพอสมควรสำหรับวันที่มีการปรับฐานเล็กน้อยแบบนี้ ข้อมูลเหล่านี้อ้างอิงจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET โดยตรงเลยครับ ก็เป็นภาพรวมที่บอกเราว่าตลาดกำลังมีการเคลื่อนไหว และมีแรงซื้อแรงขายสู้กันอยู่
สิ่งที่น่าจับตาเป็นพิเศษก็คือ พฤติกรรมของนักลงทุนแต่ละกลุ่มครับ อันนี้ต้องดูข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเป็นวันก่อนหน้า แต่แนวโน้มมักจะต่อเนื่องกัน พบว่า นักลงทุนต่างชาติเป็นฝ่ายเทขายสุทธิออกไปเยอะพอสมควรเลยครับ ตัวเลขอยู่ที่ 4,964.40 ล้านบาท แรงขายจากกลุ่มนี้แหละที่เป็นปัจจัยหลักที่กดดันให้ดัชนีปรับตัวลดลงในวันดังกล่าว

แต่โชคดีที่ยังมีแรงซื้อเข้ามาพยุงตลาดไว้บ้าง โดยมาจากสองกลุ่มหลักๆ คือ นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซึ่งก็คือกองทุนต่างๆ นั่นแหละครับ กลุ่มนี้ซื้อสุทธิ 3,294.15 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าสถาบันในประเทศยังคงมองหาจังหวะในการเข้าเก็บหุ้นอยู่ และอีกกลุ่มที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือนักลงทุนรายย่อยในประเทศ หรือพวกเราๆ ท่านๆ นี่แหละครับ กลุ่มนี้ก็ซื้อสุทธิ 2,364.59 ล้านบาท ส่วนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (พวกโบรกเกอร์เทรดเอง) เป็นฝ่ายขายสุทธิ 694.34 ล้านบาท
ภาพรวมของพฤติกรรมนักลงทุนจึงเป็นการสู้กันระหว่างแรงขายของต่างชาติ กับแรงซื้อของสถาบันและรายย่อยในประเทศครับ การที่นักลงทุนสถาบันยังเข้าซื้ออยู่ก็เป็นสัญญาณที่ดีในระดับหนึ่ง เพราะสถาบันมักจะมีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกมากกว่านักลงทุนทั่วไป อย่างไรก็ตาม แรงขายของต่างชาติที่ต่อเนื่องมาก็เป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง เพราะถ้าต่างชาติยังคงขายไม่หยุด ก็อาจจะกดดันตลาดให้ปรับตัวลงได้อีก
ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ คำถามที่ว่า “หุ้นที่น่าลงทุนตอนนี้” ยังคงเป็นคำถามยอดฮิตติดลมบนเสมอ ซึ่งจากบทวิเคราะห์ของแหล่งต่างๆ ที่ออกมาในปี 2568 นี้ ก็มีหุ้นไทยหลายตัวที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษว่าเป็น หุ้นเด่น ที่มีศักยภาพในการเติบโต หรือมีปัจจัยสนับสนุนที่น่าสนใจ กลุ่มที่น่าสนใจก็หนีไม่พ้นกลุ่มพลังงาน อย่าง SPRC (บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟนิ่ง จำกัด (มหาชน)) ที่ธุรกิจการกลั่นน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น หรือกลุ่มอาหาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างแข็งแกร่งไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นยังไง อย่าง BTG (บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)) และ CPF (บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)) ที่คาดว่าผลประกอบการน่าจะฟื้นตัวได้ดี
นอกจากนี้ กลุ่มปิโตรเคมีอย่าง IVL (บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน)) ก็เป็นอีกตัวที่นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว หุ้นเหล่านี้มีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัวและแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมของพวกเขาครับ การเลือกหุ้นจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มดีก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่นักลงทุนใช้กัน
นอกจากตลาดหุ้นไทยแล้ว การกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในตลาดต่างประเทศก็เป็นเรื่องที่นักลงทุนไทยให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ เพราะเป็นการเปิดโอกาสในการลงทุนในบริษัทระดับโลกที่มีนวัตกรรมและเติบโตสูง และสำหรับคนที่มองหา “หุ้นที่น่าลงทุนตอนนี้” แบบระยะยาวในระดับโลก บทวิเคราะห์ก็ชี้เป้าไปที่หุ้นบริษัทชั้นนำระดับโลกหลายตัว
อย่างในกลุ่มเทคโนโลยีที่ยังไงก็เป็นเมกะเทรนด์ที่ขับเคลื่อนโลก ไม่ว่าจะเป็น Microsoft (ไมโครซอฟท์) (MSFT) ที่ยังคงเป็นผู้นำด้านซอฟต์แวร์และคลาวด์, Amazon (อเมซอน) (AMZN) ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซและคลาวด์คอมพิวติ้ง, และ Adobe (อะโดบี) (ADBE) ผู้นำด้านซอฟต์แวร์สำหรับครีเอทีฟและเอกสารดิจิทัล หุ้นเหล่านี้เป็นบริษัทที่มีความมั่นคง มีธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีศักยภาพในการเติบโตต่อเนื่องไปในอนาคต

ส่วนกลุ่มพลังงานที่ยังคงมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกก็มี Chevron (เชฟรอน) (CVX) ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานครบวงจรขนาดใหญ่ การลงทุนในหุ้นพลังงานต่างประเทศก็เป็นอีกทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงนอกเหนือจากหุ้นพลังงานในประเทศ หุ้นเหล่านี้เป็น หุ้นระยะยาว ที่น่าสนใจสำหรับพอร์ตการลงทุนที่ต้องการเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจโลก
มุมมองของผู้เชี่ยวชาญก็เป็นสิ่งที่เราต้องฟังครับ ยกตัวอย่างเช่น คุณกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ หรือคุณภาดล วรรณรัตน์ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำต่างๆ ที่มักจะให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดและหุ้นรายตัวอยู่เสมอ โดยรวมแล้ว ผู้เชี่ยวชาญมักจะแนะนำให้พิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอย่างละเอียด ทั้งเรื่องผลประกอบการ ความสามารถในการทำกำไร หนี้สิน ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์แนวโน้มอุตสาหกรรม และต้องไม่ลืมเรื่องการบริหารความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุน ไม่ใช่ทุ่มเงินทั้งหมดไปที่ หุ้นเด่น เพียงไม่กี่ตัว
การลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้มีแค่การซื้อขายหุ้นโดยตรงเท่านั้นนะครับ ยังมีเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ที่สามารถใช้ได้ เช่น DRx หรือ DR ที่อ้างอิงหุ้นต่างประเทศ ทำให้เราลงทุนในหุ้นอย่าง Apple, Tesla หรือ Alibaba ได้สะดวกขึ้น หรือกองทุนรวมต่างๆ เช่น กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย หรือกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศอย่างกองทุนที่ไปลงทุนในกองทุน Lief US Selective Fund หรือ Lief Secular Fund ซึ่งบริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญ
สรุปแล้ว ตลาดหุ้นไทยช่วงต้นปี 2568 อาจจะยังอยู่ในช่วงแกว่งตัวเล็กน้อย มีแรงขายจากต่างชาติกดดัน แต่ก็ยังมีแรงซื้อจากสถาบันและรายย่อยพยุงไว้ ทำให้ยังมี หุ้นที่น่าลงทุนตอนนี้ ที่ถูกคัดเลือกมาจากการวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทยในกลุ่มพลังงาน อาหาร ปิโตรเคมี ที่คาดว่าจะฟื้นตัวหรือเติบโตได้ดี หรือหุ้นต่างประเทศในกลุ่มเทคโนโลยีและพลังงานที่เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกและมีศักยภาพการเติบโตระยะยาว
แต่จำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของหุ้นแต่ละตัวอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งงบการเงิน ผลประกอบการ แผนธุรกิจ แนวโน้มอุตสาหกรรม รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่แค่ดูว่าเป็น “หุ้นแนะนำ” แล้วซื้อตามทันที การทำความเข้าใจธุรกิจที่เราจะไปร่วมลงทุนด้วยเป็นเรื่องสำคัญมากครับ
⚠️ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะอันใกล้ หรือสภาพคล่องไม่สูงมากนัก ควรประเมินความเสี่ยงและขนาดการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงินของตัวเองนะครับ การกระจายความเสี่ยงก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่ช่วยลดความผันผวนได้ และหากไม่มั่นใจจริงๆ การปรึกษาผู้แนะนำการลงทุนที่ได้รับอนุญาตก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีครับ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จครับ