เพื่อนๆ เคยได้ยินคำว่า “RR” ไหมครับ/คะ? บางทีก็เจอตอนไปหาหมอ คุณหมอหรือพยาบาลบอกว่า “ค่า RR ปกติดีนะคะ” บางทีก็เจอตอนอ่านข่าวหุ้น บทวิเคราะห์การลงทุน แล้วนักวิเคราะห์ก็พูดถึง “การตั้งค่า RR” หรือ “RR ที่ดี” ตกลงเจ้า “ค่า rr คือ” อะไรกันแน่? แล้วทำไมมันถึงไปโผล่ได้ทั้งในวงการแพทย์และวงการลงทุน?
ถ้าพูดถึง RR ในห้องตรวจ โรงพยาบาล หรือคลินิก ส่วนใหญ่แล้วจะหมายถึง อัตราการหายใจ (Respiratory Rate) ครับ/ค่ะ ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณชีพพื้นฐาน (Vital Signs) ที่บ่งบอกถึงการทำงานของร่างกายเรา เช่น ความดันโลหิต (Blood Pressure), อุณหภูมิร่างกาย (Body Temperature), ชีพจร (Pulse) และอัตราการหายใจ (Respiratory Rate หรือ R ตัวเดียวก็ได้) การวัดสัญญาณชีพเหล่านี้ช่วยให้คุณหมอประเมินสุขภาพเบื้องต้นได้ครับ/ค่ะ อย่างอัตราการหายใจปกติของผู้ใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 20-26 ครั้งต่อนาที ถ้าสูงกว่าหรือต่ำกว่านี้มากๆ อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติได้

แต่! บทความนี้เราจะมาคุยเรื่อง RR อีกแบบครับ/ค่ะ นั่นคือ RR ในโลกของการลงทุน ซึ่งย่อมาจาก Risk Reward Ratio (อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง) อย่าสับสนกับ RR ทางการแพทย์นะครับ/คะ แม้จะใช้ตัวย่อเหมือนกัน แต่ความหมายและการนำไปใช้คนละเรื่องเลย
แล้วในวงการลงทุน “ค่า rr คือ” อะไร? พูดให้เข้าใจง่ายที่สุด มันคืออัตราส่วนที่เราใช้ประเมินว่า “ถ้าเราตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์นี้ แล้วมันไปผิดทาง เรายอมเสียได้เท่าไหร่ เมื่อเทียบกับถ้ามันไปถูกทาง แล้วเราจะได้กำไรเท่าไหร่” ครับ/ค่ะ มันเป็นเหมือนเครื่องมือวัดความ “คุ้มค่า” ก่อนที่เราจะกระโดดเข้าไปในเกมการลงทุน
ทำไมต้องมานั่งคำนวณเจ้า RR นี่ให้วุ่นวายด้วย? เหตุผลสำคัญเลยคือมันช่วยให้เรามีวินัยในการลงทุนครับ/ค่ะ ไม่ได้เทรดหรือลงทุนตามอารมณ์ หรือแค่ฟังตามคนอื่น แต่เรามีหลักการ มีแผนการจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจน เพราะความเสี่ยงในการลงทุนมันมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่เงินเราจะขายยากถ้าอยากได้เงินคืนทันที (ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง – Liquidity Risk) ความเสี่ยงที่ราคาจะเคลื่อนไหวตามสินทรัพย์อื่นที่เราไม่ได้สนใจ (ความเสี่ยงด้านความสัมพันธ์ – Correlation Risk) ความเสี่ยงจากค่าเงินผันผวน (ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน – Currency Risk) หรือแม้แต่ความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจ หรือการเมือง (ความเสี่ยงด้านการเมือง – Political Risk) แต่ RR ที่เรากำลังพูดถึงนี้ จะช่วยให้เราจัดการความเสี่ยงที่ “เรากำหนดได้” ในการเทรด หรือลงทุนแต่ละครั้ง

แล้วเจ้า อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง หรือ ค่า rr คืออะไรกันแน่ในเชิงการคำนวณ? สูตรมันไม่ได้ยากเลยครับ/ค่ะ มันคือ:
RR = (ราคาเป้าหมาย – ราคาเข้าซื้อ) / (ราคาเข้าซื้อ – ราคาที่ตัดขาดทุน หรือ Stop Loss)
มาทำความเข้าใจแต่ละส่วนกัน:
* **ราคาเป้าหมาย (Target Price):** คือราคาที่เราคาดหวังว่าสินทรัพย์ที่เราลงทุนจะขึ้นไปถึง แล้วเราจะขายทำกำไร
* **ราคาเข้าซื้อ (Entry Price):** คือราคาที่เราตัดสินใจซื้อสินทรัพย์นั้นเข้ามาในพอร์ต
* **ราคาที่ตัดขาดทุน (Stop Loss):** อันนี้สำคัญมากๆ ครับ/ค่ะ มันคือราคาที่เราตั้งไว้ว่า “ถ้าสินทรัพย์ราคาตกลงมาถึงจุดนี้ เราจะไม่ถือต่อแล้ว จะขายออกไปทันที เพื่อจำกัดความเสียหาย ไม่ให้ขาดทุนไปมากกว่านี้”
ลองมาดูตัวอย่างง่ายๆ กันนะครับ/คะ สมมติว่าเพื่อนๆ สนใจหุ้นตัวหนึ่ง ตอนนี้ราคาอยู่ที่ 10 บาท เพื่อนๆ มองว่ามันน่าจะขึ้นไปถึง 15 บาท แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่คิด แล้วราคาตกลงไปถึง 8 บาท เพื่อนๆ จะยอมขายทิ้งทันที เพื่อหยุดการขาดทุน
จากข้อมูลนี้ เรามาคำนวณ RR กัน:
ราคาเป้าหมาย = 15 บาท
ราคาเข้าซื้อ = 10 บาท
ราคาที่ตัดขาดทุน (Stop Loss) = 8 บาท
RR = (15 – 10) / (10 – 8) = 5 / 2 = 2.5
อัตราส่วนนี้คือ 1:2.5 ครับ/ค่ะ หมายความว่า ถ้าการลงทุนครั้งนี้ไปถูกทาง เพื่อนๆ มีโอกาสได้กำไร 5 บาท (จาก 10 ไป 15) แต่ถ้าไปผิดทาง เพื่อนๆ จะยอมเสียแค่ 2 บาท (จาก 10 ลงมา 8) เห็นไหมครับ/คะว่า ผลตอบแทนที่เราคาดหวัง มากกว่าความเสี่ยงที่เรายอมรับถึง 2.5 เท่า! นักลงทุนมืออาชีพหลายคนบอกว่า ค่า RR ที่ “ดี” หรือ “น่าสนใจ” ควรจะอยู่ที่ 1:2 ขึ้นไปครับ/ค่ะ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าทุกๆ บาทที่เรายอมเสี่ยง เรามีโอกาสได้กลับมาอย่างน้อย 2 บาท ถ้าเป็นแบบ 1:3 ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่เลยครับ/ค่ะ
อีกเรื่องที่นักลงทุนหน้าใหม่มักสับสนคือความสัมพันธ์ระหว่าง RR กับ Win Rate ครับ/ค่ะ Win Rate (อัตราการชนะ) คือจำนวนครั้งที่เราเทรดหรือลงทุนแล้วได้กำไร เทียบกับจำนวนครั้งทั้งหมด สมมติเทรด 10 ครั้ง ชนะ 6 ครั้ง Win Rate ก็คือ 60%
หลายคนคิดว่าขอแค่ Win Rate สูงๆ ก็พอแล้ว เทรดให้ชนะบ่อยๆ ก็รวยเอง… จริงๆ ไม่เสมอไปนะครับ/คะ ลองนึกภาพตามนะครับ/คะ ถ้าเรามี Win Rate สูงถึง 80% คือเทรด 10 ครั้ง ชนะ 8 ครั้ง แต่ทุกครั้งที่ชนะ ได้กำไรแค่ 1 บาท แต่เวลาแพ้ 2 ครั้งนั้น เสียทีละ 10 บาท สรุปแล้ว 8 ครั้งได้มา 8 บาท แต่เสียไป 20 บาท สุดท้ายคือขาดทุน!

ในทางกลับกัน ถ้าเรามี Win Rate แค่ 40% คือเทรด 10 ครั้ง ชนะแค่ 4 ครั้ง แต่ทุกครั้งที่ชนะ เราได้กำไร 5 บาท ส่วนเวลาแพ้ 6 ครั้งนั้น เราเสียแค่ครั้งละ 1 บาท สรุปแล้ว 4 ครั้งได้มา 20 บาท เสียไปแค่ 6 บาท สุดท้ายคือได้กำไร!
นี่แหละคือความสำคัญของ RR ครับ/ค่ะ ต่อให้เราเทรดชนะไม่บ่อย แต่ถ้าทุกครั้งที่ชนะ ผลตอบแทน (Reward) มัน “คุ้ม” หรือได้เยอะกว่าที่เราเสียไปตอนแพ้ (Risk) หลายเท่าตัว สุดท้ายแล้วพอร์ตการลงทุนของเราก็มีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาวครับ/ค่ะ สรุปง่ายๆ คือ RR กับ Win Rate มันมีความสัมพันธ์แบบแปรผกผันกัน (Inversely Related) ครับ/ค่ะ RR สูง มักจะทำให้ Win Rate ต่ำลงหน่อย (เพราะการตั้งเป้ากำไรไกลๆ มันก็ยากกว่า) ส่วน RR ต่ำ มักจะทำให้ Win Rate สูงขึ้น (เพราะตั้งเป้ากำไรใกล้ๆ ก็มีโอกาสถึงง่ายกว่า)
โอเค เข้าใจแล้วว่า ค่า rr คืออะไร และสำคัญยังไง แล้วจะเอาไปใช้จริงตอนเทรด หรือตอนลงทุนยังไงดีล่ะ? มีขั้นตอนง่ายๆ ครับ/ค่ะ
1. **วิเคราะห์ตลาด หาจังหวะเข้าและออก:** อันนี้ต้องใช้ความรู้เรื่องกราฟ (Technical Analysis) ข่าวสาร หรือปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) เข้ามาช่วย เพื่อกำหนดว่าเราจะเข้าซื้อตรงไหน (ราคาเข้าซื้อ) คาดหวังจะไปถึงตรงไหน (ราคาเป้าหมาย) และจุดที่เราจะยอมแพ้เพื่อจำกัดการขาดทุนอยู่ตรงไหน (ราคาที่ตัดขาดทุน หรือ Stop Loss)
2. **คำนวณและตั้งค่า RR:** เมื่อได้จุดทั้งสามแล้ว ก็คำนวณ RR ดูครับ/ค่ะ แล้วดูว่ามันคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่เราจะแบกรับไหม ส่วนใหญ่นักเทรดนิยมตั้งเป้าไว้ที่ RR 1:2 หรือ 1:3 เป็นอย่างน้อย
3. **ทดสอบย้อนหลัง (Backtesting):** ถ้าเรามีกลยุทธ์การเทรดของตัวเอง ลองเอาข้อมูลราคาในอดีตมาทดสอบดูว่ากลยุทธ์ของเราที่ใช้ RR แบบนี้ มีผลลัพธ์เป็นอย่างไรในอดีต เพื่อดูความเป็นไปได้ในอนาคต
4. **บริหารเงินทุน (Money Management):** ข้อนี้สำคัญที่สุดในสามโลกเลยครับ/ค่ะ ต่อให้เรามีระบบการเทรดที่ให้ค่า RR สูงๆ ชนะบ่อย แต่ถ้าเราเอาเงินทุนทั้งก้อนไปลงกับการเทรดแค่ครั้งเดียว แล้วดันเป็นครั้งที่แพ้ขึ้นมา เงินทุนเราอาจเสียหายหนักจนฟื้นตัวยากได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินส่วนใหญ่แนะนำว่า ไม่ควรเสี่ยงเงินทุนเกิน 1-2% ของพอร์ตทั้งหมด ต่อการเทรดในแต่ละครั้ง เช่น ถ้ามีเงินทุน 100,000 บาท ก็ไม่ควรยอมขาดทุนในการเทรดหนึ่งครั้งเกิน 1,000 – 2,000 บาท การใช้ RR ควบคู่ไปกับการบริหารเงินทุน จะช่วยให้เราอยู่รอดในตลาดได้ในระยะยาวครับ/ค่ะ
แพลตฟอร์มการเทรดสมัยนี้อย่าง MetaTrader หรือ TradingView หรือแม้แต่แพลตฟอร์มของโบรกเกอร์ต่างๆ ที่ได้มาตรฐาน ก็มักจะมีเครื่องมือช่วยในการวางแผนการเทรด คำนวณ RR และตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ได้ง่ายขึ้น ช่วยให้เราวางแผนได้รัดกุมมากขึ้นก่อนจะกดปุ่มซื้อขายจริง
สรุปแล้ว การเข้าใจและนำเอา อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง หรือ ค่า rr คือ สิ่งสำคัญมากๆ ครับ/ค่ะ ไม่ว่าเพื่อนๆ จะเป็นนักลงทุนระยะสั้น ระยะยาว หรือกำลังเริ่มศึกษาตลาด มันไม่ใช่แค่การมองหาโอกาสทำกำไรก้อนโต แต่เป็นการมองเห็นความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ และบริหารจัดการมันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การเดินทางในโลกการลงทุนของเรายั่งยืนครับ/ค่ะ
ลองเอาแนวคิดเรื่อง RR นี้ ไปปรับใช้กับการวางแผนการลงทุนของตัวเองดูนะครับ/คะ การมีแผนที่ชัดเจน และมีวินัยในการทำตามแผน จะช่วยให้เรานิ่งขึ้น ไม่หวั่นไหวไปกับความผันผวนของตลาดมากนัก
⚠️ โปรดจำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และการใช้ RR เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการช่วยบริหารความเสี่ยงและวางแผนการเทรด ไม่ได้รับประกันผลกำไรเสมอไปครับ/ค่ะ ตลาดการลงทุนมีความไม่แน่นอนอยู่เสมอ จงลงทุนด้วยความระมัดระวังนะครับ/คะ