เคยรู้สึกไหมครับว่าตลาดหุ้นช่วงนี้เหมือนนั่งรถไฟเหาะ เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง จับทิศทางไม่ถูกเลย โดยเฉพาะถ้าเรามองไปที่ตลาดหุ้นเอเชียเพื่อนบ้านเรา บรรยากาศก็ดูจะปั่นป่วนพอสมควร บางตลาดก็เขียวสดใส บางตลาดก็แดงเถือก วันนี้เราจะมาลองส่องกล้องกันที่ตลาดหุ้นจีน หรือที่เราอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า จีนindex กันดูบ้าง ว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร มีอะไรน่าสนใจ หรือมีอะไรที่เราควรรู้ไว้บ้าง

ช่วงที่ผ่านมา ถ้าเราดูภาพรวมตลาดหุ้นในเอเชีย จะเห็นความเคลื่อนไหวที่หลากหลาย ดัชนีบางตัวก็ปรับตัวขึ้นให้ใจชื้น อย่างดัชนีตลาดหุ้นไต้หวัน (TWIITSEC) หรือสิงคโปร์ (STISTI) ที่บวกขึ้นมาได้ หรือแม้แต่ดัชนี SSE Composite ของจีนแผ่นดินใหญ่เอง ที่ดูเหมือนจะดีดตัวขึ้นมาได้เล็กน้อยในวันล่าสุด (+1.59%) แต่พอมองย้อนหลังไป 3 เดือน, 1 ปี หรือ 5 ปี ก็ยังเห็นภาพรวมที่ติดลบอยู่ ส่วนเพื่อนบ้านอย่างฮ่องกง ดัชนี HANG SENG ก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกตลาดในจีนที่เป็นสีเขียว ดัชนี Shenzhen Component และ SZSE Composite กลับปรับตัวลดลง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (KOSPI), อินโดนีเซีย (JKSE), และออสเตรเลีย (ALL ORDINARIES) ที่ต่างก็ปรับตัวลงกันถ้วนหน้า แม้แต่ตลาดหุ้นอินเดีย (S&P BSE SENSEX) และมาเลเซีย (FTSE Bursa Malaysia KLCI) ก็ปิดลบเล็กน้อยเช่นกัน ความผันผวนนี้สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังคงมีความกังวลและลังเลใจอยู่ไม่น้อย
แล้วอะไรล่ะที่ทำให้บรรยากาศของ จีนindex ดูอึมครึมอยู่บ้าง? ปัจจัยหลักๆ ที่กดดันตลาดหุ้นจีนอยู่ในขณะนี้มาจากเรื่องเศรษฐกิจในประเทศเป็นสำคัญ ข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาดูเหมือนจะอ่อนแอกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ตัวอย่างเช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือที่เราเรียกว่า ซีพีไอ (CPI) ซึ่งบ่งบอกถึงอัตราเงินเฟ้อนั้น เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต หรือ พีพีไอ (PPI) ซึ่งสะท้อนต้นทุนการผลิตของโรงงาน ยังคงอยู่ในแดนลบ หรือพูดง่ายๆ คือยังอยู่ในภาวะเงินฝืด (Deflation) นั่นหมายความว่าราคาสินค้าที่ออกจากหน้าโรงงานยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งสัญญาณว่าความต้องการในประเทศยังไม่ฟื้นตัวดีนัก

นอกจากนี้ ตลาดก็ยังรอคอยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ จากทางรัฐบาลจีน ซึ่งดูเหมือนจะยังไม่มีอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ทำให้นักลงทุนบางส่วนอาจจะรู้สึกผิดหวังและขาดความเชื่อมั่นไปบ้าง ซ้ำเติมด้วยความกังวลจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะเรื่องการค้า มีข่าวว่าสหภาพยุโรป หรือ อียู (EU) กำลังเตรียมที่จะเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีนเพิ่มขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ากระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน และอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในภาพรวมของ จีนindex ได้
แต่เดี๋ยวก่อน! ใช่ว่าจะมีแต่ข่าวร้ายเสมอไป ท่ามกลางปัจจัยลบเหล่านี้ ก็ยังมีแสงสว่างรำไรอยู่บ้างเหมือนกัน เราจะเห็นว่าหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีบางตัวยังคงปรับตัวขึ้นได้ดี โดยได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่นั่น หรืออย่างข่าวที่หุ้น Tesla ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงหลังจากรายงานยอดส่งมอบรถยนต์ที่ดีเกินคาด ข่าวดีแบบนี้ก็อาจจะช่วยพยุงความรู้สึกของนักลงทุนในหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องได้บ้าง
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ความเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันระหว่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ในขณะที่ Wall Street หรือตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น ตลาดยุโรปกลับปรับตัวลง ส่วนหนึ่งอาจสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่ดูจะอ่อนแอลงเล็กน้อย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้แม้จะอยู่ไกลตัว แต่ก็สามารถส่งแรงกระเพื่อมมาถึงตลาดหุ้นเอเชียและ จีนindex ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ทีนี้ ลองมาเจาะลึกดูตัวเลขที่น่าสนใจของ จีนindex กันบ้างดีกว่า ดัชนีสำคัญอย่าง SSE Composite (รหัส 000001.SS) ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดเซี่ยงไฮ้ แม้ข้อมูลล่าสุดจะยังล่าช้า แต่ราคาปิดก่อนหน้าอยู่ที่ 2,994.73 จุด มีปริมาณการซื้อขายคึกคักพอสมควรที่ประมาณ 2.3 พันล้านหุ้น ส่วนดัชนี Shenzhen Component (รหัส 399001.SZ) ซึ่งสะท้อนหุ้นในตลาดเซินเจิ้น ปรับตัวลดลง 0.97% มาอยู่ที่ 8,812.67 จุด และดัชนี SZSE Composite (รหัส 399106.SZ) ก็ลดลง 0.60% เช่นกัน
ถ้ามองในภาพที่กว้างขึ้นผ่านดัชนี MSCI China ซึ่งรวมหุ้นจีนที่จดทะเบียนทั้งในและต่างประเทศกว่า 568 บริษัท มีมูลค่าตลาดรวม (Market Cap) สูงถึง 2.45 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 2.11% ซึ่งถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนค่าสถิติที่นักลงทุนชอบดูกัน อย่างอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ พีอี เรโช (P/E Ratio) อยู่ที่ 14.82 เท่า และถ้ามองไปข้างหน้า หรือ พีอี คาดการณ์ (P/E Fwd) จะอยู่ที่ 11.30 เท่า ซึ่งบางคนอาจมองว่ายังไม่แพงนักเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตในระยะยาว ส่วนอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี หรือ พีบีวี (P/BV) อยู่ที่ 1.60 เท่า ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ช่วยให้นักลงทุนประเมินมูลค่าและความน่าสนใจของตลาด จีนindex ได้

นอกเหนือจากภาพรวมตลาดและตัวเลขดัชนีแล้ว ข่าวสารเฉพาะตัวก็มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น มีรายงานจาก Goldman Sachs ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ เตือนว่าแผนการขึ้นภาษีของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ หากเกิดขึ้นจริง อาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed) ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 5 ครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ย่อมส่งผลกระทบต่อกระแสเงินทุนทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นจีนด้วย
หรือข่าวที่หุ้น Nvidia ผู้ผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) รายใหญ่ ปรับตัวลดลงจากประเด็นปัญหาการส่งออกชิป AI ไปยังประเทศจีน ซึ่งสะท้อนถึงความตึงเครียดทางเทคโนโลยีและการค้าระหว่างสองมหาอำนาจที่ยังคงมีอยู่ และส่งผลโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ จีนindex ในทางกลับกัน หุ้นบางตัวก็มีข่าวดีเฉพาะตัว อย่างหุ้น Paramount ที่ราคาพุ่งขึ้นจากข่าวความคืบหน้าข้อตกลงกับ Skydance
ถ้าเรามองไปที่ฝั่งยุโรปและอังกฤษ ตลาดหุ้น FTSE 100 ของอังกฤษดูจะทำผลงานได้ดีกว่าตลาดยุโรปอื่นๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 2% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2021 ซึ่งเป็นเป้าหมายของธนาคารกลางอังกฤษ ข่าวดีเรื่องเงินเฟ้อนี้อาจช่วยลดแรงกดดันในการขึ้นดอกเบี้ยได้
สรุปแล้ว ภาพรวมของ จีนindex และตลาดหุ้นจีนในตอนนี้ก็ยังดูผสมๆ กันไป มีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เศรษฐกิจในประเทศที่ยังดูเปราะบาง การรอคอยมาตรการกระตุ้นใหม่ๆ และความตึงเครียดทางการค้ากับต่างประเทศ ยังคงเป็นแรงกดดันสำคัญ ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีบางส่วนและการฟื้นตัวของตลาดโลกก็อาจพอเป็นแรงหนุนได้บ้าง
สำหรับนักลงทุนที่สนใจ จีนindex หรือกำลังลงทุนอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือการติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ ทั้งตัวเลขเศรษฐกิจ นโยบายของรัฐบาลจีน และสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ การเข้าใจภาพรวมเหล่านี้จะช่วยให้เราประเมินสถานการณ์และปรับกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น
⚠️ แน่นอนว่าการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นตลาดไหนก็ตาม ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจในสินทรัพย์ที่จะลงทุน และประเมินความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากพิจารณาลงทุนในตลาดต่างประเทศ อาจต้องคำนึงถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงเฉพาะของประเทศนั้นๆ เพิ่มเติมด้วย และหากมีสภาพคล่องทางการเงินไม่สูงนัก หรือต้องการใช้เงินในระยะสั้น อาจต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของหลักทรัพย์นั้นๆ เป็นพิเศษครับ